เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

หัวใจแห่งโยคะ...

ภาพสัญลักษณ์แทน ท่านมหาโยคี ปตัญชลี


หัวใจแห่งโยคะ...

การฝึกโยคะของแต่ละคนก็คงจะมีเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป แต่เราเคยทราบถึงเป้าหมายที่แท้จริงของโยคะกันหรือไม่ มากน้อยเพียงใด หากทุกท่านได้อ่านบทความในหัวข้อโยคะคืออะไรไปแล้ว ก็คงจะพอทราบถึงที่มาที่ไปของโยคะประมาณหนึ่ง ในบทความนี้ผมต้องการที่จะนำผู้อ่านเข้าไป ให้ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิมอีกสักนิดหนึ่ง  หนังสือที่มีบทบาทสำคัญที่สุดของการฝึกโยคะมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ คงต้องยกให้ "โยคะสูตร ของท่าน ปตัญจลี" ท่านได้เรียบเรียง นิยามต่างๆของการฝึกโยคะทิ้งไว้ ให้พวกเรารุ่นหลังได้ตีความโยคะสูตรของท่านไปในแนวทางต่างๆมากมาย  จริงๆแล้ว ปตัญจลีโยคะสูตร เป็นเพียงตำรา เล่มเล็กๆบางๆ เป็นการบันทึกนิยามสั้นๆเกี่ยวกับการฝึกโยคะด้วยภาษาสันสกฤต ซึ่งได้ถูกเรียบเรียงโดยท่านปตัญจลี เราสามารหาอ่านปตัญชลีโยคะสูตรภาคภาษาไทยได้จากหนังสือ หัวใจแห่งโยคะ ท่วงท่าและมรรคาแห่งโยคะ ที่แปลโดย อาจารย์ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์ กูรูทางด้านโยคะและอยุรเวทอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย ที่ผมก็คอยติดตามผลงานของท่านเป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา ในนิตยสารโยคะเจอร์นอลภาคภาษาไทย

จากการที่ผมได้อ่านหนังสือที่มีคุณค่ากับผู้เรียนและผู้ฝึกโยคะมากๆเล่มดังกล่าว เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ตอนวางจำหน่ายครั้งแรกๆ ประกอบกับการค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเองบ้าง ก็พอจะสรุปใจความสำคัญหลักๆได้ว่า ทุกคนที่เรียนเกี่ยวกับโยคะหรือกำลังฝึกโยคะอยู่ในขณะนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจะต้องทราบถึง มรรค 8 แห่งโยคะ ในมรรค 8 แห่งโยคะคือสาระสำคัญทั้งหลายทั้งปวงของการฝึกโยคะ จึงคิดว่าควรจะนำเรื่องของมรรค 8 แห่งโยคะมาเผยแพร่ให้ทุกๆท่านได้ทราบโดยทั่วกัน

อัษฎางค์โยคะ หรือพอจะแปลเป็นภาษาเป็นทางการแบบบ้านเราได้ว่า มรรค 8 ของโยคะ (ซึ่งชื่อนี้อาจจะไปตรงกับชื่อสไตล์การฝึกโยคะแบบ อัษฎางค วินยาสะโยคะ ที่สอนโดยท่า ศรี เค ปฐภี โชอิส)

ผู้สนใจโยคะเบื้องต้น มักเข้าใจว่า การฝึกทำอาสนะ คือ ทั้งหมดของการฝึกทำโยคะ! ในความเป็นจริง โยคะประกอบด้วยขั้นตอน 8 ประการ ที่เอื้อซึ่งกันและกัน ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากโยคะ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และฝึกองค์ประกอบทั้ง 8 ประการนี้ ควบคู่กันไป เราสามารถเปรียบอัษฎางค์โยคะกับกงล้อ 8 ซี่ของวงล้อ ล้อที่ประกอบด้วยกงที่สมบูรณ์เท่านั้น ที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ที่จะนำพาเราไปสู่เป้าหมายได้

1. ยะมะ หรือ Moral discipline (Yama)
คือศีลธรรมและจริยธรรม ที่จะช่วยให้คนอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข เป็นสังคมที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนกันซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ

 การไม่ฆ่าฟันหรือทำร้ายผู้อื่น ต้องให้ความรักผู้อื่น

 ต้องรักษาความสัตย์ คิดและพูดสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์

 ไม่โลภ ไม่มีความอยากได้ของผู้อื่น ไม่อยากได้ หรืออยากมีเกินความเป็นจริง

 ทำงาน หรือทำหน้าที่ของตัวเอง ให้เต็มความสามารถ ฝึกจิตของตัวเอง ให้ควบคุมตัวเองในเรื่องของการคิด การพูดและการทำ

 ไม่สะสมสิ่งที่มีเกินความจำเป็น ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น

2. นิยะมะ Self-restraint (Niyama) หรือความมีวิถีแห่งตนได้แก่

 การรักษาร่างกายให้สะอาดด้วยการอาบน้ำ การรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ ด้วยการฝึกโยคะ และฝึกลมปราณ

 ฝึกตนเองให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ จิตใจที่ไม่รู้จักพอจะขาดพลังจิต ขาดทิศทางและยากที่จะสงบลงได้

 ความเพียรพยายามในการควบคุมกาย วาจาและใจให้ทำในสิ่งที่ดีๆ

 ศึกษาเกี่ยวกับธรรมและตนเอง เพื่อที่จะหาทางแกไขปัญหาต่างๆได้อย่างเหมาะสม

 ฝึกปฏิบัติให้ลดความโลภ โกรธ หลง

3. อาสนะ Posture (Asana)
หมายถึงท่าในการฝึกโยคะ เป็นท่าสำหรับการบริหารร่างกาย ฝึกยืดกล้ามเนื้อกระตุ้นให้การทำงานประสาทและต่อมต่างๆ

4. ปราณายะมะ Breath control (Pranayama)
เป็นการฝึกกำหนดลมหายใจโดยเป็นการฝึกการหายใจเข้า การหายใจออก และการกลั้นหายใจ

5. ปรายาหาระ Sensory inhibition (Pratyahara)
หมายถึงการควบคุมความรู้สึกต่าง รู้สึกอยากได้ รู้สึกโกรธ เมื่อจิตใจไม่ติดยึดกับวัตถุหรืออารมณ์ ก็ทำให้จิตใจผู้นั้นบริสุทธิ์และมีพลังงานในการคิดหรือทำดี

6. ธารนะ Concentration (Dharana)
คือความมีสมาธิจดจ่อในสิ่งที่กระทำอยู่ เมื่อกายอยู่ในท่าโยคะ ให้จิตใจสนใจแต่เรื่องลมหายใจ ไม่คิดเรื่องอื่น

7. ธยานะ Meditation (Dhyana)
คือการที่จิตใจที่เพ่งอย่างต่อเนื่องจนเกิดสมาธิ ไม่ว่าจะเปลี่ยนท่าโยคะไปท่าใดผู้ฝึกก็ยังมีจิตใจไม่วอกแวก หากฝึกถึงขั้นนี้ร่างกายจะรู้สึกเบาสบาย มั่นคง จิตใจแจ่มใส

8. สมาธิหรือฌาณ Ecstasy (Samadhi)
เป็นเป้าหมายสูงสุดของการฝึกโยคะ ทางพุทธเรียกฌาณ ร่างกายจิตใจอยู่ในสภาวะพัก มีความสงบนิ่งสมดุล ผู้ฝึกจะมีสติและรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายของการฝึกโยคะ Raja-Yoga คือการปลดปล่อยตัวเองจากโลภ โกรธ หลงและมีสมาธิ

ผมคิดว่าอันนี้คงช่วยให้เราหายสงสัย ว่าที่แท้จริงแล้วทำไมหลายๆคนจึงหันมาฝึกโยคะกัน แล้วก็จะได้เข้าใจว่าการฝึกโยคะไม่ใช่แค่การทำตัวอ่อนท่าสวยแบบไร้สติ เราหลายๆคนรวมทั้งผมด้วย คงยังไปไม่ถึงข้อที่7-8 ของมรรค 8 แห่งโยคะหรอก (หากไปถึงขั้นนั้นได้  ป่านนี้คงไปบวชกันหมดแล้วครับ...พี่...น้อง...) 

อย่างไรก็ตามแต่ หากเราฝึกโยคะอย่างมีสติตามแนวทางแห่งโยคะที่แท้จริง เราจะรู้จักกับตัวเราเองมากยิ่งขึ้น เราก็คงจะได้พบกับสมดุลย์ของชีวิตเราเอง ไม่นำพาเราไปสู่การบาดเจ็บจากการฝึกโยคะ และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างกลมกลืนและมีความสุข

ขอมรรค 8 แห่งโยคะจงอยู่ในใจของผู้ฝึกโยคะทุกๆคนตลอดไป เทอญ

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก สถาบันโยคะวิชาการ http://www.thaiyogainstitute.com/

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กรรมะโยคะ...


กรรมะโยคะ...

พอเราอ่าน คำว่า "กรรมะโยคะ" แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ฟังดูน่ากลัวใช่ไหมล่ะครับ อาจจะทำให้เราคิดไปถึงเรื่องเวรกรรม(ก็ไม่ผิด ถือว่าคิดไปถูกทางด้วยล่ะ) ชาวต่างชาติมักออกเสียงว่า "กามาโยคะ" แต่อย่าคิดไกลเลยเถิดไปถึงกามาสูตรนะครับ เดี๋ยวมันจะผิดประเด็นกันไปใหญ่ จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้มีความรู้ด้านภาษาสันสกฤตหรอกครับ อาศัยว่ามันใกล้เคียงกับภาษาไทย บวกกับการคอยสอบถามผู้รู้บ้าง และพยายามศึกษาเองบ้าง ก็เลยพอทราบความหมายของศัพท์สันสกฤตพื้นฐานบางคำ

กรรมะโยคะ ในที่นี้คนทั่วไปในวงการโยคะเขาจะเข้าใจกันว่ามันคือการทำอะไรเพื่อคนอื่น,ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจอันบริสุทธิและไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน บางสถาบันโยคะในอินเดีย อาจใช้คำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นคือ คำว่า "Seva เสวะ" ก็คือการช่วยเหลือสังคม ทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับสังคม พูดแล้วก็คือการทำบุญสร้างกุศลตามแบบของชาวพุทธเราดีๆนี่เอง ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี และก็คงมีวิธีการสร้างบุญสร้างกุศลที่ใกล้เคียงคล้ายคลึงกัน เป็นสิ่งที่ดีมากๆสังคมเราจะน่าอยู่ หากเราคอยช่วยเหลือดูแลเกื้อกูลกัน

กรรมะโยคะ ในแนวทางโยคะถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นการยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้นกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ  ในทางความคิดง่ายๆก็คล้ายๆ การเอาใจเขา...มาใส่ใจเรา... ในบางเวลา บางครั้ง เราต้องการความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากคนในสังคม แต่บางครั้งหรือหลายครั้งที่เราไม่กล้าเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร แต่ในที่สุดก็มีคนใจดีมาช่วยเรา คนที่มาช่วยเราถือได้ว่าเขาได้ทำกรรมดี จัดเป็นกรรมะโยคะได้เช่นกัน  ในชีวิตเราทุกคนผมคิดว่าเราได้ทำกรรมดีมาแล้วอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าการประกอบกรรมดีต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะเป็นอานิสงค์ ให้เราพบเจอแต่สิ่งดีๆในภายภาคหน้า(ทำดี ได้ดี...ทำชั่ว ได้ชั่ว) 

ผมว่าเป็นปรัชญาขั้นสูงสำหรับเรื่องของโยคะ เป็นอะไรที่เห็นผลทันที แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเรานะครับ(ไม่ใช่ร่างกาย) ทุกครั้งที่เราทำกรรมะโยคะหรือกรรมดี เราจะรู้สึกสุขใจ อิ่มเอิบใจ อย่างชัดเจน ถึงแม้นบางกิจกรรมอาจจะเหน็ดเหนื่อยมากๆก็ตาม แต่เราก็ยินดีทำมันโดยไม่ปิปากบ่น และมีความสุขที่จะทำมัน  ในชีวิตผมก็มีทั้งด้านมืดและด้านสว่างในจิตใจ ก็คงเหมือนๆกับทุกๆคน แต่หวังว่าด้านที่สว่างจะมากกว่า(อย่าให้ด้านมืดในจิตใจครอบงำมากเกินไป จนกลายเป็น Lord Dark Weider ใน Star War) 

ผมก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่มักจะพยายามหากิจกรรมช่วยเหลือสังคมทำบ่อยๆ ที่ผมทำบ่อยมากๆเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมาก็คือ การไปวิ่งการกุศล10 กิโลเมตร เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผมว่าเป็นอะไรที่เราเรียก "ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว" คือได้ทำบุญทำกุศลพร้อมกับการได้ออกกำลังกายร่วมกับผู้คนมากมายในเวลาเดียวกัน  นักวิ่งแนวหน้าหลายๆท่าน น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาผมดี เพราะไปบ่อยมากๆ โดยผมร่วมทีมวิ่งกับธนาคารไทยพาณิชย์ ก็สุขใจทุกครั้งที่ได้ไป เขาก็จะนำเงินจากการสมัครวิ่งของเราไปทำการกุศลฯ ช่วงหลังภาระการสอนของผมเยอะมากๆและมีงานสอนตอนเช้าวันอาทิตย์ด้วย จึงเป็นเหตุให้ผม ต้องห่างหายจากการวิ่งการกุศลไปโดยปริยาย

ในโลกแห่งการสอนโยคะ ของผมก็เจอทุกรูปแบบล่ะครับ บางครั้งก็โดนเบี้ยวค่าสอนบ้างแต่ก็มีไม่มากและจำนวนเงินก็ไม่เกินหลักร้อย(ผมก็พอทำใจได้ไม่ยาก และคิดว่าไปทำบุญด้วยการสอนโยคะก็จบกันไป)  มีบางกรณี คือการไปสอนลูกค้าประเภทที่เรียกว่าส่วนตัว ที่ให้เราไปสอนให้ที่บ้านเขาเลย บางครั้งเขาก็พาเพื่อ,พาญาติมาเรียนกัน เพื่อเป็นการหารค่าใช้จ่าย ข้อดีของการสอนประเภทส่วนตัวแบบนี้ก็คือเราสามารถเรียกราคาค่าสอนได้ตามที่เราและเขาพอใจ ก็จะได้ค่าสอนมากกว่าที่เราไปสอนตามเฮลท์ครับหรือฟิตเนสทั่วๆไปอย่างแน่นอน  ข้อเสียคือบางครั้งเรากำลังเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปสอนเขาแล้วอยู่บนเส้นทางที่ใกล้จะถึงบ้านเขาแล้วหล่ะ บางครั้งถ้าซวยหน่อยคือไปถึงหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว  ดันโทรมาของดเรียนแบบกระทันหัน ซึ่งตรงนี้สำหรับผมถ้าไม่ได้สอนก็ไม่กล้าที่จะไปคิดเงินค่าเดินทางอะไรกับเขาเดี๋ยวเขาจะหาว่าเรา ยุ๋มยิ๋ม, คิดเล็กคิดน้อย, เขี้ยว หลายๆครั้งพยายามทำความเข้าใจ แบบเอาใจเขา มาใส่ใจเรา (แต่สุดท้ายคนที่เสียความรู้สึกมากที่สุดก็คือตัวผมนี่เอง) ทั้งๆที่ผู้มีประสบการณ์หลายท่านในวงการโยคะต่างก็บอกว่า ควรขอเก็บเงินล่วงหน้า หากเกิดการงดเรียนต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน 24ชั่วโมง มิเช่นนั้นจะถูกหักเงิน 50% ของการจ่ายค่าสอนครั้งนั้นๆเป็นค่าเสียเวลาของครูผู้สอนผมก็ไม่เคยทำตามที่เขาแนะนำหรอก แบบว่าเป็นประเภทขี้เกรงใจมากๆ  ก็เลยคิดตามแนวทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเอง ว่าชาติที่แล้วเราอาจจะเคยติดค้างเขาไว้เลยต้องชดใช้ในชาตินี้(แหม! พ่อพระแท้ๆ) แต่เพื่อเป็นการดับเหตุแห่งทุกข์ผมจึงค่อยๆเลิกรับงานสอนลักษณะส่วนตัวไป จนกระทั่งไม่รับเลยในที่สุด ผมเลือกที่จะสอนตามฟิตเนส, เฮลท์คลับ เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะได้ค่าสอนน้อยกว่านิดหน่อยแต่ก็ค่อนข้างแน่นอนและชัดเจน มีการทำงานที่เป็นระบบ แบบแผนมากกว่า ประกอบกับช่วงหลังผมมา ทำเทรนนิ่ง คือสอนคนอื่นเพื่อไปเป็นครูสอนโยคะอีกทีหนึ่ง ก็เลยรับงานสอนน้อยลง แต่มาทำเทรนนิ่งมากขึ้น ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เป็น(เวร)กรรมของผมเกี่ยวกับการสอนโยคะล่ะครับ

มีครั้งหนึ่ง ผมได้นำนักเรียนในคอร์สครูฝึกโยคะ 200ชั่วโมง จากสถาบัน ฟิต ที่ผมรับผิดชอบการเทรนนิ่ง ไปทำกิจกรรมพิเศษ ด้วยการไปสอนโยคะให้กับคนตาบอด เป็นกรรมะโยคะที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต วันนั้นมีนักเรียนไปช่วยผมหลายคน ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน แรกๆก็แบ่งกันดีเลยเชียว ว่าใครจะสอนตรงไหน พอทำไปทำมา กลายเป็นว่า ผมสอนเกือบหมด เพราะต้องอธิบายให้ละเอียดมากกว่าปกติแบบที่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน นักเรียนที่ไปร่วมสอนกับผมหลายๆคนประสบการณ์ในการสอนยังไม่มากนักจึงไม่รู้ว่าจะพูดแบบไหนดีที่จะทำให้คนที่มองไม่เห็น เข้าใจและทำท่าตามที่เราต้องการได้ ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันทำให้ผมพอจะเข้าใจว่าควรจะต้องอธิบายเขาแบบไหนดี ทั้งๆที่ผมก็ไม่เคยสอนคนตาบอดมาก่อน พอสอนเสร็จผมรู้สึกว่าเหนื่อยมากกว่าการสอนโยคะปกติสองหรือสามเท่าเพราะต้องพูดตลอดเวลาจริงๆ แล้วก็ต้องคอยมองพวกเขาตลอดเวลาว่าทำตามทีผมพูดได้อย่างถูกต้องหรือไม่ การสาธิตด้วยการทำท่าโยคะอาสนะไม่มีความหมายเลยสำหรับที่นี่ (เพราะนักเรียนกลุ่มนี้มองไม่เห็นครูผู้สอน) คนสอนทำได้แค่พูดและพูดให้เขาเข้าใจมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เท่านั้น มันเป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายผมมากๆ  ผมใช้พลังเยอะมากๆในการสอนครั้งนี้  สอนเสร็จคอแห้งมากๆและมีคราบขาวๆรอบๆขอบปากผม เป็นสัญญาลักษณ์บอกให้ทราบถึงการขาดน้ำ เพราะในขณะที่สอน ผมได้ดื่มน้ำน้อยมากๆ  แต่เพียงแป๊บเดียว ความรู้สึกเหนื่อยร้าทั้งหมดของผมก็หายไปโดยสิ้นเชิงหลังจากที่ได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขจากกลุ่มของคนตาบอดที่มาเข้าฝึกโยคะกับพวกเราในครั้งนี้ พอเสร็จคลาสก็เป็นช่วงเวลาของการรับประทานอาหารกลางวัน ก็เลยถือโอกาสช่วงที่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกันได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มคนตาบอด คนตาบอดบอกว่าชอบมากๆ หากเป็นไปได้ก็อยากให้ไปสอนพวกเขาบ่อยๆ ปกติเขาก็เคยมีการฝึกโยคะอยู่บ้างแล้วก่อนหน้านี้ แต่ที่พิเศษก็คือวันนี้ได้ไหว้พระอาทิตย์(สุริยะนมัสการ)เนื่องจากเขาไม่เคยไหว้พระอาทิตย์มาก่อนเลย  กลุ่มคนตาบอดที่มาฝึกโยคะกับพวกเราดูมีความสุขมากๆ แต่พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าผมและคณะที่มาช่วยร่วมสอนทุกคนก็มีความสุขมากๆไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเขาเลยเช่นกัน (ผู้ให้ย่อมสุขใจกว่าผู้รับ)

การได้ไปสอนโยคะให้กับคนตาบอดของผมในครั้งนั้น เป็นกรรมะโยคะที่ผมรู้สึกประทับใจและคงไม่มีวันลืมได้ คิดถึงสิ่งนี้เมื่อไหร่ ก็รู้สึกสุขใจ อิ่มเอิบใจทุกครั้ง...

แล้ววันนี้คุณได้ประกอบกรรมะโยคะบ้างหรือยัง?

ขอพลังแห่งกรรมะโยคะจงอยู่กับผมและผู้ที่มีศรัทธาในกรรมะโยคะทุกคนตลอดไป เทอญ

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

โยคะ...คืออะไร?...


โยคะ...คืออะไร?...

ผมได้พูดถึงเรื่องหลายเรื่อง เพื่อเป็นการเล่าประสบการณ์ต่างๆเกี่ยวกับโยคะของผมให้ทุกท่านได้อ่าน แต่จริงๆแล้ว มันเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆของโยคะเพียงเท่านั้น ส่วนโยคะที่แท้จริงแล้วเป็นฉันใด? ดังนั้นในบทความนี้ก็เลยอยากให้ทุกๆท่านได้ทราบถึงความเป็นมาเป็นไปของโยคะ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

โยคะคือภูมิอันนิรันดร์ของอินเดีย มีหลักฐานเกี่ยวกับโยคะตั้งแต่สมัยอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ เมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสต์กาล นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อว่าโยคะมีมากกว่า 5,000 ปีแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาโยคะยังคงเป็นศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของวัฒนธรรมอินเดีย และยังคงมีบทบาทสำคัญ มีคุณค่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของยุคสมัย


โยคะถือกำเนิดจากอินเดีย โดยมีความผูกพันอยู่กับปรัชญาและศาสนาฮินดู หากแต่สาระสำคัญของโยคะได้แยกออกจากความเชื่อทางศาสนาโดยสิ้นเชิง ทั้งโยคะยังไม่เคยเรียกร้องหรือกล่าวอ้างถึงความเชื่อใด ๆ โยคะเป็นศาสตร์ที่เปิดกว้างต่อมนุษย์โดยไม่ขึ้นกับศาสนา ไม่ขึ้นกับชาติพันธุ์ใด ๆ แก่นของโยคะอยู่ที่การแสวงหาทางจิตวิญญาณ ด้วยความปรารถนาที่จะเข้าใจลึกลงไปถึงความหมายของชีวิต รวมทั้งองค์ประกอบโดยรอบ

คำว่าโยคะซึ่งเป็นภาษาสันสกฤตแปลว่า “รวม, เต็ม หรือ Integration” กล่าวคือโยคะหมายถึงกระบวนการที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะดำรงชีวิตอย่างเป็นองค์รวมให้ได้มากที่สุด ซึ่งรวมไปถึงการทำความรู้จักตัวตนของตนเองและการลดทอนหรือขจัดสภาวะต่าง ๆ ที่บั่นทอนความเป็นองค์รวมนี้

ด้วยคำจำกัดความเช่นนี้ โยคะเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง จำเป็นต้องหมั่นตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา และเกี่ยวโยงกับทุก ๆ แง่มุมของชีวิต

ในการอยู่อย่างเป็นองค์รวม โยคะให้ความสำคัญกับเทคนิคต่าง ๆ ที่จะช่วยให้มนุษย์รู้จักมูลเหตุทุกชนิดที่ขาดความสมดุล อันเกิดความเจ็บป่วย และจัดปรับให้มันคืนสู่ความเป็นปกติ ดังนั้นโยคะอันเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วย พัฒนาการทางด้านจิตของมนุษย์ จึงเป็นศาสตร์ทางด้านกาย ทางด้านการบำบัดรักษาไปพร้อม ๆ กัน

โยคะคืออะไร?

ในเบื้องต้น เราพอจะกล่าวโดยสรุปได้ว่า โยคะคือวินัยต่อร่างกายและจิตใน มุ่งไปที่การประสานกลมกลืนกันของระบบต่าง ๆ ของชีวิต โดยอาศัยเทคนิคหลาย ๆ อย่างประกอบกัน ทั้ง อาสนะ (การฝึกท่าทางกาย), การหายใจ, และสมาธิ ฯลฯ

สภาวะ 3 ประการของโยคะ

1. การรวมกาย – จิต เข้าด้วยกัน อันหมายถึงการมีสติ รู้อยู่กับ กาย ตลอดเวลา

2. ความสมดุล โยคะคือการสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น ทั้งสมดุลภายในตนเอง และสมดุลระหว่างตนเองกับสิ่งรอบตัว

3. การพัฒนาจิต กระบวนการของโยคะเป็นการฝึกจิต โยคะทำให้จิตเข้มแข็ง ตลอดจนยกระดับจิตให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป

หากเราสามารถผสานโยคะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เราจะพบว่าโยคะไม่เพียงคลายปัญหาต่าง ๆ ให้เราโยคะยังเปิดหนทางใหม่ของการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข


อาสนะ ทำไม และ อย่างไร?

แปลและเรียบเรียงจาก คำนำ หนังสือ Asana How & Why โดย Sri O.P. Tiwari พิมพ์โดย Kaivalyadhama, India

หนังสือ “ทำไมเราต้องฝึกอาสนะ และฝึกอย่างไร” นี้ ไม่เคยมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือเพราะผู้เขียนเชื่อว่าตนเขียนได้ดีกว่า หากเป็นเพราะผู้เขียนรู้สึกว่าเราควรมีหนังสือเกี่ยวกับอาสนะที่เขียนด้วยภาษาง่าย ๆ อ่านเข้าใจกันได้ทุกคน

ในความเป็นของผู้เขียน หนังสือ Asana โดย สวามี กุลวัลยนันท์ น่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับอาสนะที่ดีที่สุด หนังสือดังกล่าวตีพิมพ์ในปัจจุบัน ได้รับอานิสงค์มาจากหนังสือดังกล่าวรวมทั้งหนังสือ “ทำไมเราต้องฝึกอาสนะและฝึกอย่างไร” เล่มนี้ด้วย

ชื่อหนังสือเล่มนี้ มาจากคำถามยอดนิยมที่นักเรียนชอบถาม “ทำไมเราต้องฝึกอาสนะและฝึกอย่างไร” เรารับรู้ว่าการทำอาสนะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่มีใครอธิบายให้ฟังได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ปัจจุบัน มีการสอนโยคะกันมากครูแต่ละท่านก็อธิบายแตกต่างกันไป บ่อยครั้งก่อให้เกิดความสับสน จึงจำเป็นที่ผู้เรียนควรจะรู้ ควรจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงเทคนิคต่าง ๆ ของอาสนะ ว่ามันจำเป็นอย่างไร

ก่อนอื่นคงต้องอธิบายว่าอาสนะคืออะไร อาสนะคือท่านั่งพักเฉพาะตัวของสัตว์แต่ละชนิด ซึ่งมีทั้งหมด 84,000,000 (แปดสิบสี่ล้าน) ท่า ตามจำนวนของสัตว์ทั้งหมด 84 ล้านชนิด

นักประวัติศาสตร์พบรูปปั้นคนทำอาสนะ ในทวีปอเมริกาใต้ (ประเทศเม็กซิโก) มีอายุราว 3500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อาสนะ ได้รับความสนใจ และเผยแพร่ออกนอกอินเดีย สำหรับผู้เขียน ประโยชน์ของอาสนะ จึงมิใช่เพียงการสอนมนุษย์ให้รู้จักนั่งอย่างไรเท่านั้น หากยังสอนให้เรามีสุขภาพดี ทำให้ปราณ หรือพลังชีวิตภายในไหลเวียนได้ดี นักประพันธ์ชาวอินเดียได้เขียนไว้เมื่อราวปี ค.ศ. 300 ว่า “หากเราไม่สามารถเข้าถึงการหลุดพ้นตามวิถีพุทธ ให้ลองพยายามแบบวิถีโยคะ” สรุปได้ว่าอาสนะคือ การสอนให้เรานั่งให้ตรง ทำให้ร่างกายแข็งแรง ให้ปารณไหลเวียนได้ดี เพื่อพาเราไปสู่การหลุดพ้น อันคือเป้าหมายทางจิตวิญญาณของมนุษย์

ทุกวันนี้ เรากล่าวเรื่องประโยชน์ของอาสนะต่อสุขภาพกันมาก สวามี กุลวัลยนันท์ อธิบายไว้ดังนี้ “อวัยวะของมนุษย์ล้วนทำจากเนื้อเยื่อ สุขภาพของมนุษย์จึงขึ้นกับสุขภาพของเนื้อเยื่อ ตามหลักสรีระวิทยา ความแข็งแรงของเนื้อเยื่อขึ้นกับหลัก 3 ประการ คือ

1. มีสารอาหารที่เหมาะสมมาหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ และมีฮอร์โมนมาหล่อเลี้ยง

2. มีการขจัดของเสียออกจากเนื้อเยื่ออย่างมีประสิทธิภาพ

3. ระบบประสาทที่เชื่อมโยงมาตามเนื้อเยื่อทำงานได้ดี

ทีนี้มาดูกันว่าอาสนะทำหน้าที่ 3 ประการนี้ได้อย่างไร ในสองข้อแรก สารอาหารที่เหมาะสมไม่ได้ขึ้นกับอาหารที่เรารับเข้าไปเท่านั้น หากขึ้นกับประสิทธิภาพของการย่อยและการดูดซึมด้วย โดยมีเลือดเป็นตัวนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย นั่นคือระบบไหลเวียนของโลหิตก็ต้องดี อาสนะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี อาสนะทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง ทั้งอาสนะยังทำให้อวัยวะในช่องท้องวางตัวในตำแหน่งที่ถูกต้อง ช่วยให้การขจัดของเสียเป็นไปด้วยดี

ระบบไหลเวียนของโลหิตขึ้นกับหัวใจซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุด โยคะช่วยให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ท่าอาสนะบางท่ายกกระบังลมขึ้นสูง เป็นการนวดกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง นอกจากนั้น ระบบโลหิตยังขึ้นกับสุขภาพของหลอดเลือด อาสนะที่กลับเอาเท้าชี้ฟ้า ช่วยลดปัญหาเส้นเลือดขอด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้หัวใจ และวาล์วในหลอดเลือดได้มีโอกาสพัก

สุขภาพที่ดีของเนื้อเยื่อยังขึ้นกับออกซิเจน อาสนะทำให้ระบบหายใจทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ระบบหายใจกับความแข็งแรงของปอด และกล้ามเนื้อรอบ ๆ ท่าอาสนะหลายท่าทำให้เราต้องสูดหายใจเข้าลึก บ้างต้องกลั้นหายใจซักครู่ ทำให้ปอดรับออกซิเจนได้เต็มที่ บางอาสนะก็เป็นการช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพของโพรงจมูกโดยตรง

ระบบฮอร์โมน ที่ดีมีผลโดยตรงต่อสุขภาพที่ดี อาสนะช่วยบริหารต่อมไทรอยด์ ต่อมพิตูอิตารี และต่อมไพเนียล อาสนะทำให้อวัยวะในระบบสืบพันธุ์ เช่น รังไข่ มีสุขภาพแข็งแรง

ในข้อที่สาม เรื่องของระบบประสาท เนื้อเยื่อทุกชิ้นต่อเชื่อมกับระบบประสาท ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อทำงานได้ระบบประสาทที่ดี ก็จะทำให้เนื้อเยื่อทำงานได้ดี อาสนะหลายท่าทำให้เลือดไหลไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี ส่งผลให้เส้นประสาททั้งหลายดีไปด้วย และอาสนะทุกท่าทำให้สร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกสันหลัง อันเส้นทางเดินของระบบประสาทจากสมองที่เชื่อมไปยังอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย

นอกจากประโยชน์ของอาสนะเพื่อการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายแล้ว อาสนะยังให้ประโยชน์ในเรื่องของการเข้าสู่สภาวะแห่งสมาธิ ท่าอาสนะเพื่อสมาธินี้ได้รับการจัดแบ่งไว้เป็นอีกหนึ่งกลุ่ม อาสนะในกลุ่มนี้ฝึกให้แนวกระดูกสันหลังตรง ลดแรงกดในบริเวณช่องท้อง ให้เลือดไหลเวียนมาบริเวณกระดูกเชิงกรานมากขึ้น หล่อเลี้ยงประสาทปลายกระดูกก้นกบ ทั้งยังลดการเคลื่อนไหวของร่างกาย อันเป็นการลดการใช้พลังงานของร่างกาย นำพาร่างกายเข้าสู่ภาวะสงบนิ่ง เป็นสมาธิ

ปตัญชลีระบุว่า “อาสนะทำให้ชีวิตสงบ และเป็นสุข” ทั้งยังตีความได้ว่า อาสนะคือท่าที่ทำให้เรานิ่ง และสบาย ศรี สวาตะมาราม กล่าวว่า “อาสนะจะต้องเป็นไปเพื่อความสงบ, ปราศจากโรค ขณะเดียวกันก็เพื่อ ความเบาสบาย และความสุข หาไม่แล้วท่าต่าง ๆ ที่เราฝึกก็เป็นเพียง การออกกำลังกายชนิดหนึ่ง” เมื่อเป็นเช่นนี้ คำถามต่อมาก็คือ ถ้าเช่นนั้น เราจะฝึกอาสนะอย่างไร โดยปตัญชลีตอบว่า “ขณะทำอาสนะ การใช้แรงให้เป็นไปจะเหนือกว่าฝึกแบบอาสนะ โดยไม่มีความสงบทั้งร่างกาย และจิตใจ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกคนจะเข้าใจกับโยคะมากขึ้น และนำการฝึกโยคะมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้อย่างเหมาะสม

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่ผมและผู้ฝึกโยคะทุกคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ขอขอบคุณ ข้อมูล: โยคะคืออะไร จาก สถาบันโยคะวิชาการ http://www.thaiyogainstitute.com/

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มีคนเคยบอกว่า ฝึกโยคะแล้วใบหน้าจะดูเยาว์วัย, ความจำก็จะดี (((?)))



(จิมมี่ในท่าศรีษะอาสนะและสรวางคอาสนะ)

มีคนเคยบอกว่า ฝึกโยคะแล้วใบหน้าจะดูเยาว์วัย, ความจำก็จะดี (((?)))

เมอร์รี่ คริสต์มาส ครับ สาวกโยคะทุกๆท่าน ที่ผ่านเข้ามาอ่านบทความ วันนี้ 25 ธันวาคม 2552

กูรูทางด้านโยคะ หลายต่อหลายท่านถึงแม้นว่าอายุอานามจะค่อนข้างมากโขแล้ว แต่ก็ยังดูสุขภาพแข็งแรง เมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันบางครั้งอาจดูอายุน้อยกว่า ที่สำคัญยังมีความจำที่ดีเยี่ยมอีกต่างหาก หลายๆคนจึงฟันธงว่าอาจเป็นเพราะการฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องของท่านแน่ๆ แล้วหลายๆคนก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า แล้วมันมีโยคะท่าไหนบ้าง? ที่จะช่วยทำให้เราดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอและไม่ขี้หลงขี้ลืม จากเหตุที่กล่าวมาข้างต้นนี่เองสาวน้อยสาวใหญ่หลายคนจึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการหันมาฝึกโยคะแบบทุ่มสุดชีวิต(อนิจจา)

จากบทเกิ่นนำตอนต้น ที่ยังคงทิ้งคำถามที่หลายคนเฝ้าตามหามาตลอดว่า ฝึกโยคะท่าไหน? แบบไหน? จึงจะดูเยาว์วัย และความจำดี จากตำราหลายๆเล่มที่ผมเคยอ่าน จากคำบอกเล่าของอาจารย์หลายๆท่านที่พูดต่อๆกันมา รวมจนถึงประสบการณ์ตรงของผู้ฝึกโยคะหลายๆท่าน ต่างกล่าวไว้ใกล้เคียงคล้ายคลึงกันว่า...ท่าโยคะอาสนะที่มีผลกับระบบไหลเวียนเลือดที่บริเวณใบหน้า,ศรีษะและสมอง มักเป็นท่าที่ทำในลักษณะเท้าชี้ฟ้าหัวทิ่มดินต่างๆ(Inversion Pose) เช่น ศรีษะอาสนะ(Head Stand), นิราลัมภะ ศรีษะอาสนะ(Tri Pot), สรวางคอาสนะ(Shoulder Stand) นอกจากนี้ก็ยังมีท่าโยคะอาสนะ ที่เราทำให้ศรีษะต่ำกว่าสะโพกอีก เช่น อโดมุกขะ สวานาสนะ(Down ward Facing Dog Pose), อุตตะนาสนะ(Standing Forward Bend Down), ประสาริตตะ ปาโดตะนาสนะ(Standing Leg Wide Forward Bend Down), ซาซาคาสนะ(Rabbit Pose) นอกจากนี้ก็ยังคงมีท่าโยคะอาสนะอื่นๆอีกมาก ที่มีผลกับใบหน้า ศรีษะและสมอง

เนื่องจาก ท่าโยคะอาสนะต่างๆดังที่ได้กล่าวมานั้น เป็นการทำให้ศรีษะของเราเปลี่ยนลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตำแหน่งของหัวใจ ซึ่งโดยปกติแล้ว ท่ายืนของมนุษย์นั้น ศรีษะจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าหัวใจ จึงทำให้การสูบฉีดเลือดเพื่อไหลเวียนจากหัวใจไปสู่ศรีษะต้องออกแรงต่อต้านแรงดึงดูดของโลก หัวใจของเราจึงทำงานหนักเสมอเพื่อส่งเลือดไหลเวียนไปยังตำแหน่งที่สูงกว่า ดังนั้นการที่เราทำให้ศรีษะของเราเปลี่ยนลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตำแหน่งของหัวใจ นอกจากจะช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจผ่อนคลายชั่วขณะแล้ว ยังเป็นการเพิ่มปริมาณเลือดที่ส่งไปสู่ใบหน้า,ศรีษะและสมองอีกด้วย

ในร่างกายของเรามีองค์ประกอบที่แยกย่อยออกเป็นเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆมากมาย และเซลล์ต่างๆเหล่านั้นก็ต้องการสารอาหาร เพื่อมาหล่อเลี้ยง บำรุง ซ่อมแซม รักษา ส่วนที่สึกหลอต่างๆในร่างกายของเรา การที่เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอก็มีผลทำให้ร่างกายของเราอาจจะต้องเสื่อมสภาพไปก่อนวัยอันควร    ระบบการไหลเวียนเลือดของเราก็เป็นส่วนหนึ่งในการนำสารอาหารบางประการไปสู่เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายของเรา ดังนั้นการที่เราทำท่าโยคะอาสนะที่ศรีษะลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าหัวใจ จึงมีผลให้เลือดของเราและอ็อกซิเจนไหลเวียนไปสู่ใบหน้า ศรีษะและสมองอย่างเต็มที่  เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆบริเวณใบหน้าศรีษะและสมองของเราก็จะได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่เพียงพอด้วย  ซึ่งตามข้อสันนิษฐานดังกล่าวนี้เองอาจมีผลทำให้ช่วยชลอการเสื่อมลงของเซลล์บริเวณใบหน้า, ศรีษะและสมอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราอยากจะมีใบหน้าเยาว์วัยหรือความจำดี ก็ให้ไปทำแต่ท่าต่างๆเหล่านี้ที่ผมกล่าวมา โดยแคร์อะไรทั้งนั้นนะครับ มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมายครับ เช่น

- การรับประทานอาหารและการพักผ่อนที่เหมาะสมเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

- มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในการฝึกโยคะอาสนะที่ค่อนข้างดี

- มีการแต่งกายที่เหมาะสมสำหรับการฝึกโยคะ

-ในขณะที่ฝึกควรท้องว่าง หรือรับประทานอาหารก่อนที่จะฝึกอย่างน้อย2-3ชั่วโมง

- ฝึกในสถานที่ ที่มีอากาศถ่ายเท สะดวก

- ควรมีเสื่อโยคะ หรือผ้าห่มผืนใหญ่พับสองทบ มารองร่างกายในขณะที่เราฝึกโยคะอาสนะ

- ปิดอุปกรณสื่อสาร และตัดขาดจากสิ่งรบกวนทั้งภายในและภายนอกจิตใจ ในขณะที่ทำการฝึก เพราะในบางท่าอาสนะต้องใช้สมาธิอย่างมาก

- ควรมีการอบอุ่นร่างกายอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเพียงพอ ก่อนที่จะไปทำท่าโยคะอาสนะต่างๆข้างต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว

- ไม่มีโรคประจำตัวหรืออาการบาดเจ็บตามส่วนต่างๆของร่างกายซึ่งเป็นอุปสรรคในการฝึก รวมไปจนถึง ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือมีประจำเดือนก็ไม่สมควรฝึกท่าต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น หรืออาจปรึกษาแพทย์ก่อนการฝึก (พึงระลึกไว้เสมอว่าครูสอนโยคะไม่ใช่หมอ เพื่อความแน่ใจและถ้าจำเป็นปรึกษาแพทย์ไว้ก่อนเป็นดีที่สุด)

- ท่าโยคะอาสนะบางท่าต้องใช้ทักษะพอสมควรดังนั้น ต้องรู้จักการประมาณตน ควรประเมินตนเองให้ดีเสียก่อนว่าอาสนะไหนเราสามารถทำได้อาสนะไหนควรหลีกเลี่ยงเพราะไม่มีใครจะมารู้จักตัวของเราได้ดีเท่ากับตัวของเราเอง

- ควรได้รับการฝึกภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางด้านการฝึกโยคะ สำหรับการฝึกครั้งแรกๆพยายามมาฝึกกับครูผู้เชี่ยวชาญ พอฝึกบ่อยครั้งจนชำนาญแล้วจึงอาจจะค่อยไปเริ่มกลับไปฝึกด้วยตนเอง

- ความพร้อมในการฝึกทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของเราในแต่ละวันไม่เท่ากัน ดังนั้นควรมีการประเมินขีดความสามารถของร่างกายเราแบบคลาสต่อคลาส หรือวันต่อวัน อย่าใช้แค่ความเคยชินเพียงอย่างเดียว

- อย่าให้ความเข้าใจผิดๆในการฝึกโยคะ มาเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวคุณเอง(จงเปิดใจให้กว้าง) อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ แบบไร้เหตุผล

แล้วถ้าสิ่งที่กล่าวมาเนี่ยมีทั้งหมด ทำได้(ก็เข้าสู่สภาวะที่เขาเรียกกันว่า ขั้นเทพ ดีๆนี่เอง) แต่ก็ยังไม่ได้เห็นผลอะไรที่ชัดเจน ที่ควรเกิดขึ้นกับใบหน้าและสมอง อันนี้เป็นพวกเดียวกับผมครับแต่ว่าผมยังไม่ใช่ขั้นเทพก็เท่านั้น สิ่งที่เกิดกับผมคือใบหน้าผมคงที่(หน้าตาดูสูงวัยแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เลยดูแก่คงที่), เส้นผมเริ่มลดน้อยหายไปเรื่อยๆ และก็ดูว่าจะหายไปเร็วกว่าปกติ(ไม่รู้มันจะรีบไปไหน), เรื่องของความคิดความจำส่วนใหญ่ผมว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่นานๆทีก็มีบางเรื่องที่ลืมเอาดื้อๆก็มีเหมือนกัน(แล้วถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟังถึงการหลงลืม ที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิตของผม)  โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันน่าจะมีเรื่องของพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะตระกูลฝั่งทางคุณพ่อของผมส่วนใหญ่ผมน้อยก่อนวัยอันควรกันทั้งนั้น อีกอย่างก็เรื่องของความบ่อยถี่ในการฝึก ในตำนานกล่าวไว้ว่าโยคะสามารถฝึกได้เป็นประจำทุกวันประหนึ่งว่าเป็นกิจวัตรประจำวัน หรืออย่างน้อยก็ควรฝึกสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณไม่ต่ำกว่า 30 นาที

ของบางอย่าง บางทีก็ต้องใช้เวลา และเวลาที่ใช้ของแต่ละคนก็คงไม่เท่ากัน(บางคนอาจต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต)

ความพอดีสำหรับบางคนดูเหมือนเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจและยังหากันไม่เจอสักที อย่างไรก็ตามแต่ผมก็พึงพอใจมากๆกับสิ่งที่ผมได้รับจาการฝึกโยคะมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อย้อนกลับไปทบทวนความจำครั้งแรกที่ผมเริ่มฝึกโยคะ ผมก็เป็นผู้ชายธรรมดาที่ตัวแข็งคนหนึ่ง ก้มตัวไม่ค่อยลง ปัจจุบันตัวผมอ่อนพอประมาณ(ปัญญาก็เริ่มจะอ่อนตามตัวแล้วตอนนี้) ต้องบอกตรงๆว่าผมคงหันไปทำอาชีพอื่นไม่ได้นอกจากสอนโยคะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พลังแห่งโยคะจะช่วยให้ผู้ฝึกโยคะทุกท่านมี ใบหน้าที่ดูเยาว์วัยและมีความจำที่แม่นยำไปอีกนานแสนนาน

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สุดยอด ปรมาจารย์โยคะ ไซม่อน บรอก-โอริเวียร์


สุดยอด ปรมาจารย์โยคะ ไซม่อน บรอก-โอริเวียร์

ในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมานี้ บอกตามตรงเลยว่า ผมทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และทุนทรัพย์ มากมายเพื่อตระเวนเรียนโยคะกับกูรูทางด้านโยคะที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย หากท่านเหล่านั้นเดินทางมาย่านเอเชียและถ้าผมมีโอกาส ผมก็มักจะเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์โยคะอย่างไม่ลังเลใจ

ผมคิดว่าช่วงอายุของผมในตอนนี้ ยังสามารถตลุยศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้ และจำเป็นจะต้องหาประสบการณ์ทั้งทางด้านการเรียนและการสอนโยคะอีกมากมาย เพื่อจะได้พัฒนาตนเองให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

ผมเริ่มตระเวน เรียนโยคะจากคำบอกเล่า ของผู้รู้ในวงการโยคะ รวมถึงการเสาะหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ จึงทำให้พอจะมีข้อมูลว่า

หากคุณจะฝึกโยคะสไตล์ อัษฎางคโยคะ ควร ฝึกกับท่าน ศรี เค ปัฐภี โชอิส แต่ตอนนี้คงไม่มีใครสามารถฝึกกับท่านได้อีกแล้ว เพราะท่านเสียชีวิตไปแล้ว ไม่นานนี้เอง(หรือใครอยากจะไปฝึกกับท่าน ยกมือขึ้น) แต่เราก็ยังสามารถไปฝึกกับหลานชายของท่าน คือ ศรี อา ศารัฐ ซึ่งสืบทอดเจตนารมย์ต่อจากท่าน นอกจากนี้ ก็ยังสามารถฝึกกับลูกศิษย์ที่ได้รับใบอนุญาติจากท่านอีกมากมายทั่วโลก ลูกศิษย์ของท่านที่ผมเคยฝึกด้วยก็คือ เดวิด สเวนสัน และ เคน ฮาราคุม่า

หากคุณจะฝึกโยคะ สไตล์ ไอเยนคาร์ ควร ฝึกกับท่าน บี เค เอส ไอเยนคาร์ โดยตรงเลย ซึ่งปัจจุบันท่าน อายุ มากกว่าเก้าสิบปีแล้ว ผมเคยสัมผัสการฝึกแบบไอเยนคาร์ ที่ซอยทองหล่อ สตูดิโอ ของคุณจัสติน เฮอร์โรล

หากคุณจะฝึกโยคะสไตล์ โยคะบำบัด(วินิโยคะ) ก็ควรฝึกกับ ท่าน ที เค วี เทสิกาจารย์ ซึ่งเป็นบุตรชาย ของท่าน ศรี กฤษณะ มาจารยา กูรูโยคะคนสำคัญของโลกท่านนี้ เป็นอาจารย์ของ ทั้งท่าน ศรี เค ปัฐภี โชอิส และ บี เค เอส ไอเยนคาร์ แนวโยคะแบบบำบัดนี้ผมเคยร่วมคลาสกับลูกศิษย์ของท่าน ที เค วี เทสิกาจารย์ คือ มาร์ค วิทเวล

นอกจากนี้ผมก็เคยเข้าเรียนกับโยคะมาสเตอร์ระดับโลกหลายต่อหลายท่าน อาทิเช่น คลาสอนุสราโยคะกับ จอห์น เฟรนด์, ชีวมุกติโยคะ กับทั้ง ชารอน แกนน่อน และเดวิด ไลฟ์, ธรรมะโยคะ กับ ธรรมะ มิตตา, เพาเวอร์โยคะกับ ไบรอัน เคสท์, ฟอร์เรส โยคะ กับ แอนนา ฟอร์เรส, หฐะวินยาสะ โยคะ กับ เจสัน แคนเดล, อินสปาย่า โยคะ กับ เลนซ์ ชูเล่อร์และแคร์ เพลสลี่, โยจิค อาร์ท กับ ดันแคน หว่อง, ศักติโยคะ กับ รัสตี้ เวลล์, กรีโยคะ กับ มาสเตอร์ คามาล, ยูนิเวอร์แซล โยคะ กับ แอนเดี่ยน แลบป้า, วินยาสะโยคะ กับ ทวี เมอร์ริแกน, และอาจจะมีอีกบางท่านนอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ ที่ผมเคยเข้าเรียนด้วยแต่อาจคิดไม่ออกหรือหลงลืมไปบ้าง

แต่ก็ยังมีอีกหลายต่อหลายท่านที่ผมอยากจะไปเรียนด้วยแต่ยังไม่สามารถตามไปเรียนด้วยได้ คิดว่าสักครั้งหนึ่งจะต้องหาโอกาสไปเรียนกับท่านต่างๆเหล่านั้นให้ได้ หนึ่งในจำนวนนั้น มีคำบอกเล่าต่อๆกันมาในแวดวงโยคะว่า หากต้องการเรียน กายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา แบบโยคะให้เข้าใจ ควรต้องเรียนกับ ไซม่อน บรอก-โอริเวียร์ แห่ง โยคะซินเนอร์จี้ ออสเตรเลีย เป็นอีกท่านหนึ่งซึ่งในระยะเวลา 3-4ปีที่ผ่านมา ผมถวิลหาอยากจะเรียนกับเขามากๆ เมื่อประมาณ2ปีที่ผ่านมา เขาเคยมาเปิดเวิร์คชอปที่เมืองไทยที่สตูดิโอของอาจารย์สร้อยมณี (ซอย จิม ทอมสัน) ครั้งนั้นผมพลาดอย่างมหันต์ที่ไม่สามารถ งดภาระงานสอนโยคะไปเรียนกับเขาได้

แต่ในที่สุด เมื่อวันที่ 27-30 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา เนื่องจากสถาบันต้นสังกัดของผม บริษัท ฟิตเนส อินโนเวชั่น ไทยแลนด์ เป็นผู้จัดงาน เอเชีย ฟิตเนส คอนเวนชั่น 2009 และผมก็ทำหน้าที่ประสานงานและเชิญครูโยคะบางท่านมาเป็นวิทยากรในงานนี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีมากๆในชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนหน้าที่งานจะเริ่มประมาณ4-5เดือน ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะติดต่อและเชิญ ไซม่อน บรอก-โอริเวียร์ แห่ง โยคะซินเนอร์จี้ ออสเตรเลีย มาเป็นวิทยากร โดยปกติแล้วหากเป็นวิทยากรโยคะระดับโลกบางครั้งการจะเชิญเขามาอาจจะต้อง จองล่วงหน้ากันเป็นปีๆเลย(อันนี้ไม่ได้โม้ คนในวงการโยคะระดับโลกเขารู้กันดี) แต่ในช่วงเวลาที่ผมเชิญเขามานั้นเป็นช่วงที่เขา งานไม่ยุ่งมากนักและพอที่จะเดินทางมาช่วยได้ เขาจึงตกลงมาเป็นวิทยากรให้กับเราในงานนี้(ผมแค่เป็นคนเริ่มต้นติดต่อเขา ที่เหลือเจ้านายของผมคุณซูซาน ฮอสลี่ เป็นผู้จัดการเจรจาต่อ)

ช่วงเวลาประมาณ 4วัน ที่เขาต้องมาอยู่เมืองไทย นอกจากจะมีเพื่อนเก่าของคุณไซม่อนที่เป็นคนไทยคือพี่สรรค์(ธนพล)และชาวต่างชาติที่ผมไม่รู้จักผลัดกันมาคอยดูแลเทคแคร์เขาบ้างในบางเวลาแล้ว ก็มีผมอีกคนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะต้องคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้เขาตลอด จึงทำให้ผมทราบและยกย่องเขาทันทีเลยว่า คนนี้แหล่ะโยคีตัวจริง เขาค่อนข้างมีชีวิตที่เรียบง่าย แต่การรับประทานอาหารของเขา สุดยอดของการเลือกรัปประทานอาหารจริงๆ เท่าที่ผมเคยเจอะเจอมา ทำให้ต้องดูแลพิเศษกว่าวิทยากรคนอื่นๆ เนื่องจากในวันที่เขามีสอน ตลอดทั้งวันนั้นเขาไม่ทานอะไรเลยนอกจากน้ำมะพร้าวและเนื้อมะพร้าวเท่านั้น และจะทานในช่วงที่หยุดพักระหว่างการสอน หากเวลาหยุดพักน้อยเกินไปเขาก็จะไม่ทาน เขาบอกผมว่าเขาไม่ดื่มน้ำเปล่าเลย(โอ้แม่เจ้า!) เขาดื่มแค่น้ำมะพร้าวหรือน้ำผลไม้คั้นสดๆ100%เท่านั้น(โอ้แม่เจ้า!) ช่วงเย็นย่ำค่ำหลังเสร็จสิ้นภาระการสอนเขาจึงจะทานอาหารแบบมังสวิรัต 100% ผัก+ผลไม้ ไม่ทานไข่ ไม่ใส่พริก และไม่ใช้น้ำมันในการประกอบอาหาร(โอ้แม่เจ้า!) มันจึงทำให้ผมแทบจะไม่มีตัวเลือกของร้านอาหารที่พอจะพาเขาไปหาอะไรรับประทานได้ ผมจึงตัดสินใจพาเขาเข้าไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ๆสถานที่จัดงาน พอเขาเข้าไปถึงซุปเปอร์มาเก็ต เขาตื่นตาตื่นใจมากๆ เหมือนเด็กเจอของเล่นอย่างไงอย่างนั้น เขาเลือกหยิบผักผลไม้ที่เขาชอบมาแบบเต็มอัตราศึก ประมาณว่าทานกัน2คนเต็มที่ยังไม่รู้เลยจะทานหมดไหม สิ่งที่เขาชอบและโปรดปรานมากที่สุดนอกจากมะพร้าวคือทุเรียนครับ เขาบอกผมว่าเขาเป็นขาประจำของร้านผลไม้ไทยในซิดนี่ย์ ออสเตรเลีย(ยินดีกับผลไม้ไทยด้วยครับ ดูจากการรับประทานผักและผลไม้ของเขา ประเทศเราน่าจะได้เงินจากไซม่อนปีละหลายหมื่นบาทอยู่) หน้าที่อีกอย่างที่ผมต้องทำให้เขาก็คือ จัดหามะพร้าวมาให้เขา ตลอดทั้งงาน 4วัน เราหมดมะพร้าวสำหรับเขาคนเดียวไปประมาณ 50ลูกครับ (หากอยู่ต่ออีกสักสัปดาห์ อาจทำให้มะพร้าวขาดตลาดถึงขั้นแม่ค้า พ่อค้ากักตุล มะพร้าวเกร็งกำไร) จากตรงนี้พี่สรรค์จึงเตรียมช้อนพิเศษสำหรับขูดและตักเนื้อมะพร้าวมาให้เขา อันนี้เฉพาะเรื่องอาหารการกินของเขาเท่านั้น

ส่วนเรื่องของการสอน เขาครบเครื่องจริงๆครับ คำว่าครบเครื่องของผม คือนอกจากท่าฝึกอาสนะรวมจนถึงเทคนิคปราณยามะรูปแบบต่างๆ จะทำได้ค่อนข้างอยู่ในระดับแอ็ดวานซ์แบบที่ชาวบ้านทำกันไม่ค่อยได้แล้ว ทฤษฎีทั้งทางด้านปรัชญาแห่งโยคะ ภาษาสันสกฤต กายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา วิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว เขาก็สุดยอดอีก อันนี้จากประสบการณ์ของผมเท่าที่เคยได้สัมผัสมา ผู้สอนโยคะระดับโลกน้อยคนนักที่จะเข้าใจเรื่องกายวิภาคศาสตร์และวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวอย่างลึกซึ้งแบบนี้  เขาเดินทางไปเรียนโยคะที่ประเทศอินเดียถึง14ครั้ง และเคยผ่านการฝึกกับกูรูโยคะระดับตำนาน อาทิ เช่น ท่าน ศรี เค ปัฏภี โชส, บี เค เอส ไอเยนคาร์, ที เค วี เทสิกาจารย์ และกูรูโยคะท่านอื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ เนื่องจากเขาฝึกโยคะมาอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่า40ปี(เริ่มฝึกตั้งแต่อายุยังไม่ถึง10ปี)และเป็นนักกายภาพบำบัด สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย สอนครูโยคะมากมายทั่วโลก ทั้งหมดนี้คงเป็นเครื่องการันตรีได้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับความสามารถของเขา

เขาสอนเรื่องเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา วิทยาศาสตร์การเคลื่อนที่กับการฝึกโยคะ ด้วยคำพูดที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องมีประสบการณ์ในการฝึกก็สามารถเข้าใจได้ แต่ท่าฝึกของไซม่อนบางท่าอาจจะดูแปลกๆ ดูเหมือนท่ารำมวยจีน มาผสมผสานกับท่าฝึกโยคะ แต่ทุกท่าที่เขาออกแบบมานั้นมีที่มาที่ไปและบอกได้อย่างชัดเจนว่าทำเพื่ออะไร กล้ามเนื้อและข้อต่อทำงานอย่างไร มีความปลอดภัยในการทำท่างต่างๆเหล่านั้นอย่างไร หลายต่อหลายครั้งในคลาสเรียนที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปช่วยประสานงานและสังเกตการณ์ ก็มักจะมีคำถามหลายๆคำถามจากนักเรียนขี้สงสัยมาถาม นักเรียนจากต่างชาติบางคนบอกว่าสิ่งที่เขาสอนอยู่ดูจะแตกต่างกับสิ่งที่เคยเรียนมาโดยสิ้นเชิง คำถามบางครั้งจึงคล้ายๆเป็นการลองของ แต่ทุกๆครั้ง นักเรียนผู้ที่ถาม ก็จะได้รับคำตอบที่มีเหตุผลชัดเจนมากๆพร้อมกับได้ข้อคิดอะไรบางอย่างให้กลับไปคิด มีสิ่งหนึ่งที่ไซม่อนได้พูดออกมา แล้วผมรู้สึกได้ถึงความชัดเจนของการสอนของเขามากๆก็คือ "คนที่สอนคุณต้องเป็นครูที่เก่งแน่ๆ ทฤษฎีบางอย่างต้องฝึกปฏิบัติถึงจะเข้าใจชัดเจนแล้วจึงจะสามารถนำมาถ่ายทอดต่อได้ แต่ครูบางคนสอนตามตำราทั้งๆที่ไม่เคยฝึกปฏิบัติหรือปฏิบัติแต่ไม่เคยสำเร็จ ครูบางคนปฏิบัติเพียงอย่างเดียวสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างแต่อธิบายไม่ได้ว่าทำไปทำไม ทำไปเพื่อช่วยอะไร และตำราที่ใช้สอนบางเล่มก็ไม่ได้อัพเดต ใช้สืบทอดต่อเนื่องกันเรื่อยมา ยุคสมัยและวิวัฒนาการมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน คำตอบบางอย่างเกี่ยวกับการฝึกโยคะที่คุณได้รับมาอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุดก็ได้ แต่บางคนก็ยังยึดติดปิดตัวเองอยู่ ควรต้องเปิดใจและยอมรับสิ่งใหม่บางสิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง" อันนี้ผมชอบมากๆ

อ้อเกือบลืมเล่าให้ฟัง! เอกลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของคุณไซม่อนก็คือ ไม่ว่าภูมิอากาศจะเป็นอย่างไรร้อนหรือหนาวขนาดไหนก็ตามแต่ เขาก็จะถอดเสื้อสอน ใส่เพียงกางเกงรัดกล้ามเนื้อเพียงตัวเดียวเท่านั้น(เอกลักษณ์ของเอกบุรุษ แมนจริงๆ)

จาก 4วันที่ผมได้อยู่กับเขาอย่างใกล้ชิด เป็นประสบการณ์พิเศษที่ผมไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน ขอยอมรับเลยว่า เขาคือสุดยอดของครูโยคะตัวจริง จึงทำให้ผมรู้สึกว่า ผมยังจัดอยู่ในกลุ่มผู้ฝึกโยคะอย่างผิวเผินด้วยซ้ำไป ยังมีสิ่งต่างๆอีกมากมายเกี่ยวกับโยคะที่ผมต้องศึกษาฝึกฝนและเรียนรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพลังแห่งโยคะจะอยู่กับผมและผู้ฝึกโยคะทุกๆท่านตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ปรมาจารย์โยคะ ไซม่อน บรอก-โอริเวียร์ ลิงค์เข้ามาได้ที่นี่ครับhttp://www.yogasynergy.com/

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ศพอาสนะ แต่ไม่รู้สึกสงบ เป็นเพราะอะไรกัน?


ศพอาสนะ แต่ไม่รู้สึกสงบ เป็นเพราะอะไรกัน?

มันเหมือนเป็นความอัดอั้นตันใจ ในชีวิตการเป็นครูสอนโยคะของผม ซึ่งวันนี้ต้องระบายให้ทราบโดยทั่วกัน และฝากบอกต่อๆกันด้วยน๊ะครับ กับสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้

 เกือบทุกครั้งที่ผมสอนโยคะ ช่วงใกล้จะจบคลาสก็จะต้องเหลือเวลาไว้เล็กน้อยเพื่อให้นักเรียนได้ผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ มีเกจิทางด้านโยคะหลายท่านได้กล่าวไว้ว่า "คลาสโยคะจะสมบูรณ์แบบได้อย่างไรถ้าไร้ซึ่งการผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ" ชัดเจนได้ใจมากๆ

และถ้าเราไม่สามารถสงบ นิ่ง หรือผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ มันเป็นเพราะอะไรกัน?

การที่เราไม่รู้สึกสงบ ในขณะที่ทำท่าศพอาสนะ ผมขอจำแนกออกเป็น 2ปัจจัยด้วยกัน คือ

1. ปัจจัยภายใน คือเกิดจากตัวเราเองเป็นหลักเลย ไม่เกี่ยวกับใคร อาจเป็นเพราะมีเรื่องให้ต้องคิดวุ่นวายมากมายเกินเหตุ จนไม่สามารถข่มตาลงได้ และรู้สึกถึงความว่นวายมารบกวนจิตใจตลอดเวลา อาจจะเป็นภาระทางด้านการงาน ครอบครัว เศรษฐกิจการเงิน สังคม ที่มีผลโดยตรง ส่งผลให้เกิดเป็นความเครียดในใจ และเฝ้าคอยแต่คิดถึงสิ่งเหล่านั้นตลอดเวลา แนวทางในการแก้ไขปัญหานี้คือ ต้องปล่อยวาง(พูดง่ายแต่ทำยากสำหรับบางคน)

2. ปัจจัยภายนอก คือการที่สิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง มาทำปฏิกิริยากับอารมณ์ความรู้สึกของเรา ณ.ช่วงเวลาขณะนั้น จึงส่งผลให้จิตใจเกิดการวอกแวกไม่สงบ ทั้งๆที่จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีความเครียด กำลังผ่อนคลายแท้ๆ แต่ดันมีสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกมากระทบจิตใจ ทำให้ไร้ความสงบ

ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว พวกที่อยู่ในกลุ่มแรก (ปัจจัยภายในที่ทำให้ไม่สงบ) มักจะเป็นผู้สร้างปัญหาให้กับกลุ่มที่สอง เพราะเมื่อกลุ่มแรก พอไม่สงบ ไม่เข้าใจถึงการผ่อนคลาย ก็มักจะเดินออกจากคลาสในช่วงซึ่งคนอื่นกำลังผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ

นักเรียนของผมหลายๆคนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจถึงการผ่อนคลาย(ไอ้พวกปัจจัยภายในรุนแรง) ทุกครั้งจะต้องมีคนลุกเดินออกจากห้องในขณะที่กำลังทำการผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ ซึ่งช่วงนั้นแหล่ะครับ เป็นช่วงสำคัญ คนเป็นครูสอนโยคะจะต้องสร้างความรู้สึกที่ผ่อนคลายด้วยคำพูด และส่งต่อความรู้สึกผ่อนคลายนี้ไปยังนักเรียนที่กำลังเริ่มนอนหลับตาในท่าศพอาสนะ ด้วยเทคนิคของโยคะนิทรา เป็นช่วงที่นักเรียนควรจะต้องใช้สมาธิเพื่อเข้าสู่การผ่อนคลาย และในช่วงนี้ นี่เอง! เราก็จะได้ยินเสียงคนเดินย่อง เราก็จะได้ยินเสียงของพวงกุญแจที่กระทบกัน กุ๊งๆกิ๊งๆ เราก็จะได้ยินเสียงของการลากเบาะ ฟื้ดๆ ฟาดๆ เราก็จะได้ยินเสียงของการเปิดประตูห้อง ถ้ามีเยื่อใยหน่อยเสียงที่ประตูปิดกลับแบบอัตโนมัติก็จะเบาจนเกือบไม่รู้สึกถึงการเปิดปิด แต่หลายๆครั้งก็ไม่มีเยื่อใย เสียงประตูที่ปิดกลับแบบสวิงกลับมาเต็มที่ คงจินตนาการได้น๊ะครับ ตอนที่เสียงประตูกระทบกันอย่างจัง อยากจะเดินตามไปตบกระบาน เขาผู้นั้นมากๆ  แทนที่นักเรียนที่ยังคงนอนอยู่ในท่าศพอาสนะจะได้ผ่อนคลายอย่างสงบ  หากเป็นศพจริงๆก็คงต้องบอกตรงๆว่านอนตายตาไม่หลับแน่ๆครับ

เขาไม่เข้าใจเรื่องของการผ่อนคลายก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพอมีมารยาทอยู่บ้าง น่าจะอดทนรอสักนิด ไม่น่ารบกวนสมาธิด้วยการ เดินออกจากห้องเรียนในขั้นตอนนี้ จนสร้างเสียงรบกวนให้ผู้ที่ยังฝึกอยู่ คำตอบที่ได้รับคือต้องรีบกลับ ผมก็คิดในใจว่าถ้ารีบมากนักก็ไม่น่าจะมาเรียนโยคะเลยจริงๆ เกรงใจ๋ เกรงใจ

อย่างที่หลายๆคนที่ฝึกโยคะจะทราบดีว่ามันเป็นท่าแสนสุข เป็นไฮไล้ท์ ของการฝึกโยคะเลยก็ว่าได้ แต่ดันมีชนกลุ่มน้อยมาทำลายความสุข (ต้องทำใจ) คนเป็นครูสอนโยคะ หากพูดอะไรที่รุนแรงมากเกินไป ก็อาจจะเกิดความไม่พอใจ และเป็นเรื่องที่ครูสอนโยคะหลายๆคนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตามแต่ ทุกชีวิตล้วนย่อมแตกต่างกัน แต่ทุกชีวิตสามารถสร้างความสมดุลย์ให้ชีวิตตนเองได้ และก็ไม่ควรปล่อยให้ อารมณ์อันขุ่นมัวมามีอำนาจเหนือจิตใจของตัวเราเอง ควรหาเวลาทำความเข้าใจกับชีวิตของตนเองให้มากขึ้น ควรมีการให้รางวัลกับชีวิตด้วย การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ หรือใช้เวลาว่างสร้างสมดุลย์ให้ชีวิต บางคนคิดว่าโยคะจะช่วยสร้างสมดุลย์ให้ชีวิตของเขาได้ โดยส่วนตัวของผมเห็นด้วยและคิดว่าเป็นไปได้สูง แต่ก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร และเวลาที่จะใช้ของแต่ละคนก็ย่อมไม่เท่ากันอย่างแน่นอน และเมื่อคุณรู้จักตัวคุณเองเพียงพอแล้ว อาจจะไม่ต้องเสียเวลาในชีวิตของคุณไปกับความสับสนวุ่นวายโดยเปล่าประโยชน์

ดีใจด้วยสำหรับคนที่เจอสมดุลย์ในชีวิตแล้ว และเป็นกำลังใจให้เสมอสำหรับคนที่ยังไม่เจอสมดุลย์

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะพบกับความสมดุลย์แห่งชีวิตของตนเองในไม่ช้านี้

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โยคะ...มนตรา...ศรัทธาและเสียงเพลงในใจของคุณ


โยคะ...มนตรา...ศรัทธาและเสียงเพลงในใจของคุณ

ทุกคนที่ฝึกโยคะเป็นประจำสม่ำเสมอ คงทราบและพอจะเข้าใจการสวดมนตราหรือมันตรา คือการเปล่งเสียงบทสวดมนตร์ที่เป็นภาษาสันสกฤต ทั้งๆที่ในตอนแรก เราไม่ค่อยจะทราบถึงความหมายของบทสวดต่างๆเหล่านั้นสักเท่าไร  รู้แต่เพียงว่าเมื่อสวดมนตรา บทต่างๆเหล่านั้นเสร็จแล้วจะรู้สึกโล่งสบายใจแบบที่บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน จึงทำให้เราอยากที่จะทราบถึงความหมายของบทสวดมนตราต่างๆเหล่านั้น รวมจนถึงเทคนิคการเปล่งเสียงในการสวดมนตราที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการสวดมนตราก็เป็นการทำสมาธิในขั้นเบื้องต้นอีกรูปแบบหนึ่ง มันทำให้จิตใจของเราสงบและนำจิตมาจดจ่อกับบทสวดมนตรา จึงทำให้เราตัดขาดจากสิ่งต่างๆที่สับสนวุ่นวายทั้งภายนอกและภายในจิตใจของเราไปชั่วขณะ  นอกจากนี้แล้วยังเป็นการรำลึกถึงครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาโยคะขึ้นมาบนโลกใบนี้แถมยังช่วยบริหารลมหายใจและปอดของเราไปในเวลาเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงบทสวดมนตร์สั้นๆ แต่ก็มีพลังมหาศาล

การสวดมนตรา เชื่อมโยงเราไปสู่เรื่องของพลังศรัทธา ที่กาลครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้วมนุษย์ต้องกาลสิ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ เพื่อให้พ้นจากความกลัวและด้านมืดในจิตใจของตน ความกลัวและด้านมืดในใจจึงเป็นแรงขับให้มนุษย์ในอดีต พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกเข้มแข็งและรู้สึกปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ   จึงพยายามที่จะติดต่อกับสิ่งที่ตนเองไม่เคยมองเห็นและเชื่อว่าสิ่งๆนี้มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่สามารถปกป้องคุ้มครองตนเองให้พ้นภัยได้ จึงเกิดเป็นคำพูดสั้นๆบ่งบอกถึงความปรารถนาในใจตน พอเปล่งเสียงซ้ำๆบ่อยเข้า จึงกลายเป็นเหมือนบทสวดมนตร์ภาวนา และทำสืบต่อกันมาเรื่อยๆ เกือบทุกชาติศาสนาเผ่าพันธ์ มักมีการสวดมนตร์ภาวนาตามแบบฉบับของตนเอง

การสวดมนตราซ้ำๆกันบ่อยครั้งจนเป็นนิจ จึงทำให้เกิดป็นจังหวะของการท่องมนตราขึ้นมาแบบไม่ตั้งใจ จังหวะการสวดมนตราของแต่ละสำนักและของแต่ละบุคคลก็จะมีความแตกต่างกัน เร็วหรือช้าไม่เท่ากัน คล้ายๆกับจังหวะปราณยามะการหายใจของแต่ละคนก็จะสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใดก็ฉันนั้น และจากการท่องสวดมนตราซ้ำๆไปมา จนศัพท์เทคนิคบ้านเราเรียกว่าจำได้ขึ้นใจ ก็พัฒนามาเป็นท่องสวดมนตราในใจ ฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเราทีละนิด ทีละนิด จนเป็นจังหวะทำนองอันไพเราะที่อยู่ในหัวใจของเรา เป็นไปในทิศทางเดียวกับการฟังดนตรีแล้วเราจะรู้สึกผ่อนคลายจิตใจชื่นบาน แล้วถ้าหากว่าดนตรีหรือเพลงๆนั้น มีจังหวะที่ใกล้เคียงกับจังหวะที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจเราแล้วด้วยล่ะก็ จะทำให้เรารู้สึกสงบมีสมาธิ ผ่อนคลาย เปิดใจ หรือในบางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกหึกเหิมขึ้นมาในจิตใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเพลงนั้นๆด้วย

และที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมอยากอธิบายให้เข้าใจว่า ทุกคนมีจังหวะชีวิตที่ไม่เหมือนกัน จังหวะดนตรีหรือเสียงเพลงที่ถูกฝังลึกอยู่ในจิตใจของเราแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกันด้วย มีบุคคลคนหนึ่ง ผมรู้จักเขาด้วยความบังเอิญเขามีจังหวะดนตรีในหัวใจที่ชัดเจน และยึดมั่นในจังหวะดนตรีนั้นเสมอมา ถึงแม้ว่าเขาจะหลงไหลในการฝึกโยคะมากขนาดไหน จังหวะดนตรีในหัวใจของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป เขาจึงตัดสินใจนำบทสวดมนตราตามแบบโยคะมาเปลี่ยนทำนองให้เป็นแบบเดียวกับจังหวะดนตรีในหัวใจของเขา  จึงเกิดเป็น โยคะแร็ปเปอร์ เอ็ม.ซี.โยจิก(คือไอ้หมอนี่มัน นำบทสวดมนตราแบบโยคะไปใส่ทำนองเพลงแร็ป ตามแนวของมันครับ) แรกๆผมรู้สึกรับไม่ค่อยได้และคิดในใจว่า โอ้แม่เจ้า! ไอ้นี่มันบ้าไปแล้วแน่ๆ ในความรู้สึกของผู้ฝึกโยคะทุกคนน่าจะคิดไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกันว่า เพลงแบบโยคะน่าจะมีจังหวะช้าๆฟังสบายผ่อนคลาย ความหมายดีประทับใจ ถึงแม้นจะนำบทสวดมนตรามาใส่ทำนองก็ควรใช้ทำนองที่ไม่เร็วมากจนเกินไป ซึ่งอาจจะคุ้นหูชื่อของผู้มีชื่อเสียงทางด้านการขับร้องเพลงแบบโยคะคือ กฤษณา แดส, ใจ อุททาน และคนอื่นๆอีกมากมาย แล้ว เอ็ม.ซี.โยจิก เขาเป็นใคร? มาจากไหน? ทำไม? ถึง ผ่าเหล่าผ่ากอ มาเป็นโยคะฮิปฮอป, โยคะแร็ป

ผมขอกล่าวถึง เอ็ม.ซี.โยจิก โดยสังเขป ผมก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับชายคนนี้มาก่อน ที่เจอกันโดยบังเอิญเพราะการที่ผมไปเข้าเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ ที่ประเทศฮ่องกง วันนั้นผมเพิ่งเข้าคลาส ชีวามุกติ กับ เดวิด ไลฟ์ เสร็จ กำลังตั้งท่าจะเดินทางกลับที่พัก ในระหว่างที่รอพลพรรคที่เดินทางไปด้วยกันจากเมืองไทย  ก็มีชาวต่างชาติคนหนึ่งไม่ระบุสัญชาติ ฟังจากการพูดน่าจะเป็นอเมริกัน รูปร่างสูงใหญ่ ตัดผมสั้นสกีนเฮด แต่มีหนวดเคราเล็กน้อย ใส่แว่นสายตา ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเกือบตลอดเวลา เดินเข้ามาทำการทักทายและจับมือผม มีป้ายคล้องคอเหมือนเป็นสต๊าฟ หรือเจ้าหน้าที่ในการจัดงาน ทุกคนในระแวกนั้นต่างมองมาที่เขาด้วยความสนใจ พอจะจับความรู้สึกของคนที่มองมาทางเขาได้ว่า เขาต้องเป็นคนดังมีชื่อเสียงอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่สิ่งที่ผมคิดในใจในขณะที่เขาจับมือและทักทายผมก็คือ แกเป็นใครวะ? ฉันไม่รู้จักแกว่ะ แล้วทำไมแกเลือกเข้ามาทักทายฉัน? แล้วใจความสำคัญที่เขาพูดกับผมก็คือว่า คืนพรุ่งนี้อย่าพลาด โปรดให้เกียรติมางานสังสรรค์ของเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ด้วย ผมก็คิดในใจขึ้นทันทีว่า แกเห็นฉันเป็นอะไรเนี่ย? ฉันไม่ได้เป็นผู้ชายใจง่ายอย่างที่แกคิดนะเว่ย ส่วนอีกใจหนึ่งก็คิดว่าไอ้หมอนี่อาจจะเป็นผู้อำนวยการในการจัดเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ครั้งนี้ก็เป็นได้ ผมจึงแอบถามชายสับสนทางเพศคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้น(มันเป็นครูโยคะระดับนานาชาติด้วย) มันเสือกตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่าอะไรกันคุณไม่รู้จักเอ็ม.ซี.โยจิก เหรอ? ผมก็คิดในใจอีกว่าถ้ารู้จักฉันจะถามแกทำไมว๊ะ ด้วยเสียงของมันนี่เองจึงทำให้ เอ็ม.ซี.โยจิก เดินย้อนกลับมาที่ผม พร้อมกับคนแถวนั้นอีก 3-4 คน คนที่เดินตามมาด้วยพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นนักร้องเพลงโยคะที่ดังมากคนหนึ่งในวงการโยคะปัจจุบัน แล้วในที่สุดผมก็ได้รู้ว่า มันเป็นนักร้องนี่เอง(ดันนึกเลยเถิดไปได้ไกลถึงขนาดว่ามันเป็นผู้อำนวยการในการจัดงาน) บอกตามตรงนักร้องเพลงเกี่ยวกับโยคะที่ผมก็รู้จักก็มีแค่ กฤษณา แดส และ ใจ อุททาน สองคนนี้ขวัญใจผมเลย แต่ผมยังไม่ได้ซื้อเพลงเขามาฟังแบบเป็นเรื่องเป็นราวซักที เพราะไปฟังทีไร ทั้งอัลบั้ม 8เพลง ชอบแค่ 2เพลงจึงตัดใจไม่ซื้อ(งกนี่เอง) นี่ก็คือเหตุที่ผมได้รู้จักกับ เอ็ม.ซี.โยจิก

 การที่เราจะสามารถเข้าไปในงานสังสรรค์ ของเอเชียโยคะคอนเฟอเรนท์ได้นั้น ก็ต้องซื้อบัตรผ่านเข้าไปในงาน ผมจำราคาไม่ได้ แต่คับคล้ายคับคลาว่า ไม่น่าจะต่ำกว่า 500บาท เมื่อคิดเป็นเงินไทยแล้ว มิน่าล่ะแกเลยพยายามมาทำความรู้จักฉัน  ด้วยนิสัยของคนไทย ขี้เกรงใจและชอบช่วยเหลือคนอื่นอย่างผม จึงตัดสินใจขึ้นมาทันทีในใจว่า งั้นเรารู้จักกันแค่นี้ก็แล้วกันเอ็ม.ซี.โยจิก เพราะที่สำคัญตอนนั้นผมยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเขาร้องเพลงแนวไหน เสียงของเขาจะสะกดผมได้เหมือนที่กฤษณา แดส หรือ ใจ อุททาน ร้องหรือเปล่าก็ไม่รู้

และแล้วเหมือนสวรรค์ลิขิต วันรุ่งขึ้น ผมเข้าเรียนคลาสตำนานหนุมาน กับ มาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ช่วงท้ายคลาส มาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ได้เชิญ เอ็ม.ซี.โยจิก มาเป็นแขกรับเชิญร้องเพลงให้ทุกคนที่ร่วมเรียนในคลาสฟัง บอกได้คำเดียวเลยว่า โอ้แม่เจ้า! เราตกยุคไปแล้วหรืออย่างไรกัน เดี๋ยวนี้เพลงโยคะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เลยหรือนี่ ทุกคนในคลาสรวมจนถึงมาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ต่างพากันกระโดดโรดเต้นกันแบบสุดเหวี่ยงเมื่อได้ยินเสียงเพลงสไตล์แร็ป หรือฮิปฮอป ที่เอ็ม.ซี.โยจิก ร้อง ก็คงมีแต่ผมคนเดียวที่อึ้ง.งง.จึงถือโอกาสแอบเก็บภาพมาเป็นหลักฐาน ดังนี้

ผมถ่ายภาพคู่กับมาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน
(เธอเคยขึ้นปกนิตยสารไทยแลนด์โยคะเจอร์นอล ฉบับเดือนม.ค - ก.พ. 2551)


คุณอ้อม, เอ็ม.ซี.โยจิก และผม








ผมมีโอกาสได้แอบถามเขาว่า ทำไมถึงได้นำบทสวดมนตราแบบโยคะ มาร้องเป็นเพลงฮิปฮอปหรือเพลงแร็ป? ไม่คิดหรือว่ามันจะดูขัดกับหลักการของโยคะตามแบบฉบับดั้งเดิม? สำหรับผม  ผมคิดว่ามันเป็นคำถามที่หนักแล้วก็ฟังดูค่อนข้างจริงจังสักนิดหนึ่ง แต่สีหน้าของผมเวลาทีถามเขาในขณะนั้น ก็ยิ้มๆพูดแบบทีเล่นทีจริง แต่ก็มีความคาดหวังในคำตอบและอยากทราบแนวคิดของเขาที่มีกับโยคะ

คำตอบที่เขาพูดก็คือว่า เขารักโยคะมาก เหมือนกับทุกๆคนที่มารวมตัวกันในงานเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ ที่ฮ่องกง แล้วในขณะเดียวกันเขาก็รักเสียงเพลง จึงเป็นคนที่มีดนตรีและโยคะอยู่ในหัวใจตลอดเวลา แต่ในปัจจุบันนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว จะมีครูสอนโยคะสักกี่คนกันในปัจจุบันที่สอนตามตำราโยคะดั้งเดิมแล้วประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีการผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  บางคนก็ฝึกโยคะอยู่เพียงสไตล์เดียวและไม่คิดจะเปลี่ยนไปฝึกสไตล์อื่น บางคนฝึกทุกสไตล์ เช่นกันบางคนก็ฟังเพลงในแนวที่ตนเองชอบเพียงแนวเดียว ส่วนบางคนก็ฟังเพลงได้หลายๆแนว เช่นเดียวกับตัวเขา เขาก็อยากฟังเพลงโยคะในแนวจังหวะที่เขาอยากฟัง ดนตรีทุกแนวในความคิดของเขานั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี ทำไมจะต้องมีการปิดกั้น ควรเปิดใจให้กว้างและยอมรับในสิ่งใหม่ๆบ้าง การฝึกโยคะสอนให้เขาไม่เบียดเบียนและแบ่งปัน การแบ่งปันความรักและความสุขทำได้หลายวิธี แล้วการนำบทสวดมนตราแบบโยคะมาร้องเป็นฮิปฮอปหรือแร็ปก็คือวิธีของเขาการได้กระโดดโรดเต้นตามจังหวะเพลงของเขาเป็นการปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะเก็บเอาไว้ออกมา พลังดังกล่าวหากเก็บไว้มากเกินไป จะถูกแสดงออกมาจากตัวเราเป็นกรรมดีและกรรมไม่ดี หากเราระบายมันออกมาเป็นกรรมที่ไม่ดีจะแย่มากๆ อาจจะไปเป็นการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือเบียดเบียนผู้อื่น
หากเราได้ปลดปล่อยพลังบางสิ่งบางอย่างในตัวเราออกมาแล้ว เรารู้สึกมีความสุขสบายใจ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เขาบอกว่ามันก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักการของโยคะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โดยตรงก็ตาม ซึ่งเขามีความถนัดแบบนี้ การกระทำของเขาเพี้ยนหรือไม่เพี้ยน เขาไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้ แต่เขามีความสุขและรู้สึกดีมากทุกๆครั้งที่ได้เห็นว่ามีคนกระโดดโรดเต้นไปกับจังหวะเพลงที่เขาร้อง เขาได้นำเสียงเพลงในใจของเขามาถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟัง ซึ่งก็มีหลายๆคนที่มีเสียงเพลงในหัวใจคล้ายกันกับเขา และเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ

แล้วคุณล่ะทราบหรือไม่ว่า เสียงเพลงจากส่วนลึกของจิตใจของคุณเป็นสไตล์ไหน? แนวไหน? จังหวะอะไร? สำหรับตัวผมแล้ว ยังไม่แน่ชัด อาจจะเป็น แนว สามช่า ก็ได้ และในอนาคตก็อาจจะมี จิมมี่โยคะสามช่า คู่แข่งกับ เอ็ม.ซี.โยจิค (มันจะไปกันใหญ่แล้ว..ว..ว)
หวังว่าสักวันคุณคงจะรู้จักกับจังหวะของเสียงเพลงที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจคุณ

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับทุกคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

กลิ่นไม่พึงประสงค์...จากเสื่อโยคะ

กลิ่นไม่พึงประสงค์...จากเสื่อโยคะ

ในบางครั้งที่ผมกำลังจะเริ่มสอนโยคะ พอเวลาที่นั่งลงบนเสื่อโยคะมักได้กลิ่นที่ไม่ค่อยพึงประสงค์ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นกลิ่นอะไรกันแน่ก็ต้องเริ่มตรวจสอบแหล่งที่มาของกลิ่น โดยเริ่มจากคิดว่าอาจจะเป็นกลิ่นตัวของเรา แต่แล้วก็ไม่ใช่(ไม่ใช่ว่าไม่มีกลิ่นตัวนะครับ มีเหมือนกันแต่ไอ้กลิ่นที่ได้นี้ มันรุนแรงกว่ากลิ่นตัวของผมมากมายอยู่) จึงคิดต่อไปว่า อาจจะเป็นกลิ่นเท้าของเรา ก็เลยลองก้มลงไปแอบดมดูก็รู้สึกถึงการเข้าใกล้ที่มาของกลิ่นมากๆ ในที่สุดผมก็ทราบว่ามันคือกลิ่นของเสื่อโยคะนั่นเอง

นักเรียนหลายๆคนของผมมักมาบ่นให้ฟังเป็นประจำว่า เสื่อที่ใช้ฝึกโยคะมีกลิ่นที่ไม่ค่อยพึงประสงค์ ทำให้รู้สึกเสียสุขภาพจิตในการฝึกพอสมควร

สาเหตุของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์  จากการสอบถามและหาเหตุของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ก็ได้คำตอบว่า มักจะพบบ่อยในช่วงฤดูฝน เจ้าหน้าที่ที่ทำความสะอาดเสื่อโยคะชี้แจงให้ผมฟังว่า ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำความสะอาด แต่เนื่องจากไม่สามารถนำไปผึ่งข้างนอกกลางแจ้งได้หลังจากที่ซักล้างแล้วเพราะฝนตก จึงทำให้เกิดกลิ่นอับอันไม่พึงประสงค์ สตูดิโอโยคะหลายๆแห่งก็จะประสบปัญหาเดียวกันเช่นนี้

แนวทางในการรับมือกับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากเสื่อโยคะ ที่ผมขอแนะนำมีดังต่อไปนี้
1. หากสตูดิโอนั้นๆที่เราไปใช้บริการ มีเสื่อหลายๆผืนเราก็อาจจะไปหาผืนที่ไม่มีกลิ่นมาใช้
2. อาจจะต้องเตรียมเสื่อโยคะ ส่วนตัวของเราไปใช้เอง ตามประเทศที่พัฒนาแล้วผู้ฝึกโยคะที่เอาจริงเอาจังในการฝึกและห่วงสุขภาพอนามัยส่วนตัว มักจะนำเสื่อโยคะส่วนตัวมาใช้เองถึงแม้ว่าทางสตูดิโอนั้นๆจะมีเสื่อไว้ให้แล้วก็ตาม

ประสบการณ์ของผมที่เคย สังเกตดูว่านักเรียนของผม จะทำอย่างไรกันบ้างหากเกิดได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากเสื่อโยคะ
1.นักเรียนเหล่านั้นก็จะต้องบ่นให้เราฟังก่อนด้วยหน้าตาบูดเบี้ยว ประมาณว่าเป็นผู้บริโภคที่ถูกผู้ประกอบการไม่เอาใจใส่ในเรื่องของการบริการ
2.บางคนใช้การนำผ้าเช็ดตัวมาปูทับบนเสื่อโยคะ ก็จะกลบกลิ่นได้เล็กน้อยถึงปานกลางหากผ้าเช็ดตัวมีกลิ่นหอม
3.บางคนขอ สเปย์ปรับอากาศมาฉีดเพื่อดับกลิ่น อันนี้ต้องดูให้ดีว่าคนอื่นเขาจะเหม็นกลิ่นสเปย์ปรับอากาศหรือไม่
4.บางคนตัดสินใจยอมเจ็บตัวแต่ไม่ยอมทนกลิ่นเหม็น ด้วยการไม่ใช้เสื่อ ลงไปทำท่าฝึกบนพื้นแข็งๆผมก็เคยเห็น

แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมมักแนะนำให้นักเรียนหลายๆคน นำเสื่อโยคะส่วนตัวมาใช้เองเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี และความมั่นใจในการฝึก เพราะบางคนไม่แค่ได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เคยมีบางคนถึงขั้นเกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันขึ้นตามเนื้อตามตัวเต็มไปหมด บางท่านบอกว่ามันเป็นภาระ ขี้เกียจที่จะต้องหอบหิ้วเสื่อโยคะไปด้วยทุกครั้งที่จะต้องไปฝึกโยคะ จึงจำใจยอมใช้เสื่อที่ทางสตูดิโอเขาจัดให้ ผมเลยคิดว่ามันไม่คุ้มกันเลย หากเราเลือกได้เราก็ควรจะเลือกสุขภาพอนามัยที่ดีที่สุดให้กับตัวของเราเอง หากเราเป็นผู้ที่ต้องฝึกโยคะเป็นประจำสม่ำเสมอและถ้าหากมันไม่หนักหนาอะไรจนมากเกินไป ก็ควรจะมีเสื่อโยคะคู่ใจไว้สักผืน เพื่อนำมันติดตัวไปกับเราในเวลาที่เราคิดว่าจะต้องไปฝึกโยคะ ฝึกให้เคยชินในที่สุดคุณก็จะพบว่าโยคะมันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งในชีวิตของคุณ

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับทุกคนตลอดไป

นมัสเต

จิมมี่โยคะ

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พฤศจิกายน 2552 เดือนแห่งกิจกรรมโยคะ...ของผมอย่างแท้จริง


พฤศจิกายน 2552 เดือนแห่งกิจกรรมโยคะ...ของผมอย่างแท้จริง

ผมหายไปจากการเขียนบล็อกเป็นเวลาเกือบเดือนเลยทีเดียว ก็ต้องขออภัยทุกๆท่านที่ติดตาม ก็เป็นไปตามชื่อเรื่องล่ะครับ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เป็นเดือนที่ผมมีกิจกรรมในอาชีพครูสอนโยคะเย๊อะมากๆ

กิจกรรมแรก เริ่มต้นด้วยการ เตรียมเอกสารให้กับ โยคะอะลิอันซ์ องค์กรโยคะของอเมริกาที่ทำหน้าที่รับรองครูสอนโยคะและสถาบันการสอนโยคะทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมากๆอีกอย่างหนึ่งในชีวิตของผมเพราะจะได้เลื่อนเป็น E-RYT(Experience Registered Yoga Teacher) ซึ่งหมายถึงการได้รับการยอมรับจากองค์กรดังกล่าวว่า ผมเป็นครูสอนโยคะผู้มีประสบการณ์และสามารถสอนผู้อื่นให้เป็นครูสอนโยคะได้ โดยได้รับการรับรองจากโยคะอะลิอันซ์ของอเมริกา ในขณะเดียวกันก็ทำการรับรองสถาบันต้นสังกัดของผมด้วยคือ สถาบันFIT (Fitness Innovations Thailand Limited) ซึ่งเมื่อ2ปีก่อนหน้านี้ผมและสถาบันFITก็ได้รับการรับรองจากInternational Yoga Federation ซึ่งเป็นองค์กรโยคะระดับนานาชาติที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เท่ากับว่าตอนนี้ผมและสถาบันFIT ก็จะได้รับการรับรองจากสององค์กรโยคะยักษ์ใหญ่ระดับโลก(สุดยอดจริงๆเลย) ก็รบกวนทุกคนช่วยเป็นกำลังใจและคอยติดตามผลงานของผมด้วยนะครับ(ฝากตัวอย่างกับว่าเป็นดารานักร้องเลยนะแก) ในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบคอร์สครูสอนโยคะของสถาบันFIT ที่เปิด3กลุ่มการเรียน ณ.ตอนนี้ ใน1สัปดาห์ผมจะต้องใช้เวลาในการสอนนักเรียนทั้ง3กลุ่มนี้รวมสัปดาห์ละ 22ชั่วโมง และก็ยังคงมีงานสอน ตามฟิตเนสและเฮลท์คลับต่างๆที่เขาไว้วางใจให้ผมไปสอนอีกนิดหน่อย

กิจกรรมที่สอง คือการไปเข้าร่วมเวิร์คชอป ของคุณ Cle Souren, Senior Iyengar Yoga Teacher ที่ไอเยนคาร์โยคะสตูดิโอ ของคุณ Justin Herold เขามา4วันแต่ผมมีโอกาสเข้าเรียนแค่เพียงวันอาทิตย์ที่8พ.ย.วันเดียวเพราะเป็นวันหยุดของผม ไม่บ่อยครั้งนักที่ครูสอนโยคะที่มีประสบการณ์มากๆเช่นนี้จะมาเปิดเวิร์คชอป ต้องบอกตามตรงเลยว่าในชีวิตของผมไม่เคยเข้าเรียนโยคะในสไตล์ไอเยนคาร์มาก่อน ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ที่ไอเยนคาร์โยคะสตูดิโอ เป็นสตูดิโอเล็กๆ ที่อบอุ่นมากๆ ครูที่นี่ทุกคนเป็นกันเองมากๆ  ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยให้ความสนใจเวิร์คชอปครั้งนี้ จนทำให้เกือบจะไม่มีที่ให้เดินในสตูดิโอเลยเชียว มีคนเข้าร่วมคลาสประมาณ25คน บอกตามตรงเลยว่าคุ้มค่ามากๆกับประสบการณ์ที่ได้รับ เพราะเราจะได้ความรู้ในการจัดระเบียบร่างกายในการฝึกโยคะ พร้อมกับการใช้อุปกรณ์ต่างๆมาช่วยในการฝึก จึงทำให้เราเข้าสู่ท่าฝึกต่างๆได้ลึกซึ้งถึงแก่นมากยิ่งขึ้น วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสฝึกโยคะอย่างสะใจ(ปกติเคยแต่สอนคนอื่นเขา) http://www.iyengar-yoga-bangkok.com/

ผมถ่ายภาพคู่กับ Justin Herold



พี่สุธรรม, Master Cle Souren, และผม



            ผมทำท่า Pincha Mayurasana+Scorpion โดยใช้เก้าอี้ช่วย โดยมีMaster Cle และ Justin คอยดูแล


กิจกรรมที่สาม กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่14-15 พ.ย.นี้ คือ ไทยแลนด์โยคะเฟสติวัล เป็นงานใหญ่ที่สุดของกิจกรรมโยคะในบ้านเรา ก็มีครูสอนโยคะที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์หลายท่านด้วยกัน และจะมีร้านค้าต่างๆมากมายนำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและโยคะมาจำหน่ายให้เราเลือกอย่างมากมาย งานนี้ตัวผมมีส่วนเกี่ยวข้องคือต้องไปเปิดบู๊ทกับทางต้นสังกัดของผมสถาบันFIT และมีหน้าที่ไปเดินป้วนเปี้ยนในงาน ถ้ายังไงไปเจอกันในงานที่บู๊ทของสถาบันFITก็แล้วกัน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.yogajournalthailand.com/

กิจกรรมที่สี่ ในวันที่27-29 พ.ย. นี้ ทางต้นสังกัดของผม(Fitness Innovation Thailand Limited)รับหน้าเสื่อ เป็นผู้อาสาจัดงาน เอเชีย ฟิตเนส คอนเวนชั่น 2009 คือการรวมพลของคนฟิตเนส และคนรักการออกกำลังกาย ระดับเอเชีย งานนี้พวกเราทุ่มกันสุดตัว เพราะมันเป็นงานที่จะจัดขึ้นครั้งแรกในเมืองไทย ผมทำหน้าที่ประสานงานทางด้านโยคะ(เล็กน้อย) เพราะส่วนใหญ่คนอื่นเขาทำกันไปเกือบหมดแล้ว ในงานนี้จะมีบุคคลากรที่มีชื่อเสียงทางด้านฟิตเนสและการออกกำลังกาย มาเปิดเวิร์คชอป อย่างครบครันเกือบทุกรูปแบบทุกประเภทของการออกกำลังกาย  และจะมีการนำเสนอการออกกำลังกายแบบแปลกๆใหม่ๆมาให้เราเห็นแน่นอน ในส่วนของโยคะที่ผมจะต้องเข้าไปช่วยประสานงานก็มีวิทยากรที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิเช่น Beth Shaw จากYogaFit, Simon Borg Olivier จากSynergy Yoga, Jess Goholm จากCrunch และคนอื่นๆอีกมากมาย สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.getfitasia.net/


                                                    Jess Gronholm (Crunch)                            




                                               Beth Shaw (YogaFit)


                                                  
                               
                                                      
                                                      
                                   Simon Borg Olivier (Synergy Yoga)
                 


นี่แหละครับกิจกรรมของคนที่บ้าโยคะจนเข้าสายเลือดอย่างผม ผมคิดว่าศาสตร์แห่งโยคะนั้นทำให้ผมต้องคอยหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ เพื่อพัฒนาตนเองแล้วก็นำความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องทางด้านโยคะ มาถ่ายทอดส่งต่อไปยังนักเรียนที่เข้าคลาสเรียนกับผม รวมจนถึงทุกคนที่ต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านโยคะ  สำหรับผมแล้วหลังจากที่ฝึกโยคะก็มีสิ่งดีๆต่างๆเกิดขึ้นในชีวิตผมมากมาย ผมว่าการฝึกโยคะเป็นสิ่งที่วิเศษมากๆ หากคุณเป็นผู้ที่ฝึกโยคะอยู่แล้ว ผมขอแนะนำให้ฝึกอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่หักโหม ทำการฝึกตามศักยภาพของเรา แล้วคุณจะพบถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทางที่ดีขึ้น อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจนทำให้คุณไม่สามารถถอนตัวจากการฝึกโยคะได้อย่างเช่นที่ผมและอีกหลายๆคนกำลังเป็นอยู่ ไม่เชื่อก็ลองดู

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพลังแห่งโยคะจะอยู่กับผมและทุกๆตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ



ป้ายกำกับ

Powered By Blogger