เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ศพอาสนะ แต่ไม่รู้สึกสงบ เป็นเพราะอะไรกัน?


ศพอาสนะ แต่ไม่รู้สึกสงบ เป็นเพราะอะไรกัน?

มันเหมือนเป็นความอัดอั้นตันใจ ในชีวิตการเป็นครูสอนโยคะของผม ซึ่งวันนี้ต้องระบายให้ทราบโดยทั่วกัน และฝากบอกต่อๆกันด้วยน๊ะครับ กับสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้

 เกือบทุกครั้งที่ผมสอนโยคะ ช่วงใกล้จะจบคลาสก็จะต้องเหลือเวลาไว้เล็กน้อยเพื่อให้นักเรียนได้ผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ มีเกจิทางด้านโยคะหลายท่านได้กล่าวไว้ว่า "คลาสโยคะจะสมบูรณ์แบบได้อย่างไรถ้าไร้ซึ่งการผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ" ชัดเจนได้ใจมากๆ

และถ้าเราไม่สามารถสงบ นิ่ง หรือผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ มันเป็นเพราะอะไรกัน?

การที่เราไม่รู้สึกสงบ ในขณะที่ทำท่าศพอาสนะ ผมขอจำแนกออกเป็น 2ปัจจัยด้วยกัน คือ

1. ปัจจัยภายใน คือเกิดจากตัวเราเองเป็นหลักเลย ไม่เกี่ยวกับใคร อาจเป็นเพราะมีเรื่องให้ต้องคิดวุ่นวายมากมายเกินเหตุ จนไม่สามารถข่มตาลงได้ และรู้สึกถึงความว่นวายมารบกวนจิตใจตลอดเวลา อาจจะเป็นภาระทางด้านการงาน ครอบครัว เศรษฐกิจการเงิน สังคม ที่มีผลโดยตรง ส่งผลให้เกิดเป็นความเครียดในใจ และเฝ้าคอยแต่คิดถึงสิ่งเหล่านั้นตลอดเวลา แนวทางในการแก้ไขปัญหานี้คือ ต้องปล่อยวาง(พูดง่ายแต่ทำยากสำหรับบางคน)

2. ปัจจัยภายนอก คือการที่สิ่งแวดล้อมและคนรอบข้าง มาทำปฏิกิริยากับอารมณ์ความรู้สึกของเรา ณ.ช่วงเวลาขณะนั้น จึงส่งผลให้จิตใจเกิดการวอกแวกไม่สงบ ทั้งๆที่จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีความเครียด กำลังผ่อนคลายแท้ๆ แต่ดันมีสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกมากระทบจิตใจ ทำให้ไร้ความสงบ

ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว พวกที่อยู่ในกลุ่มแรก (ปัจจัยภายในที่ทำให้ไม่สงบ) มักจะเป็นผู้สร้างปัญหาให้กับกลุ่มที่สอง เพราะเมื่อกลุ่มแรก พอไม่สงบ ไม่เข้าใจถึงการผ่อนคลาย ก็มักจะเดินออกจากคลาสในช่วงซึ่งคนอื่นกำลังผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ

นักเรียนของผมหลายๆคนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจถึงการผ่อนคลาย(ไอ้พวกปัจจัยภายในรุนแรง) ทุกครั้งจะต้องมีคนลุกเดินออกจากห้องในขณะที่กำลังทำการผ่อนคลายในท่าศพอาสนะ ซึ่งช่วงนั้นแหล่ะครับ เป็นช่วงสำคัญ คนเป็นครูสอนโยคะจะต้องสร้างความรู้สึกที่ผ่อนคลายด้วยคำพูด และส่งต่อความรู้สึกผ่อนคลายนี้ไปยังนักเรียนที่กำลังเริ่มนอนหลับตาในท่าศพอาสนะ ด้วยเทคนิคของโยคะนิทรา เป็นช่วงที่นักเรียนควรจะต้องใช้สมาธิเพื่อเข้าสู่การผ่อนคลาย และในช่วงนี้ นี่เอง! เราก็จะได้ยินเสียงคนเดินย่อง เราก็จะได้ยินเสียงของพวงกุญแจที่กระทบกัน กุ๊งๆกิ๊งๆ เราก็จะได้ยินเสียงของการลากเบาะ ฟื้ดๆ ฟาดๆ เราก็จะได้ยินเสียงของการเปิดประตูห้อง ถ้ามีเยื่อใยหน่อยเสียงที่ประตูปิดกลับแบบอัตโนมัติก็จะเบาจนเกือบไม่รู้สึกถึงการเปิดปิด แต่หลายๆครั้งก็ไม่มีเยื่อใย เสียงประตูที่ปิดกลับแบบสวิงกลับมาเต็มที่ คงจินตนาการได้น๊ะครับ ตอนที่เสียงประตูกระทบกันอย่างจัง อยากจะเดินตามไปตบกระบาน เขาผู้นั้นมากๆ  แทนที่นักเรียนที่ยังคงนอนอยู่ในท่าศพอาสนะจะได้ผ่อนคลายอย่างสงบ  หากเป็นศพจริงๆก็คงต้องบอกตรงๆว่านอนตายตาไม่หลับแน่ๆครับ

เขาไม่เข้าใจเรื่องของการผ่อนคลายก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพอมีมารยาทอยู่บ้าง น่าจะอดทนรอสักนิด ไม่น่ารบกวนสมาธิด้วยการ เดินออกจากห้องเรียนในขั้นตอนนี้ จนสร้างเสียงรบกวนให้ผู้ที่ยังฝึกอยู่ คำตอบที่ได้รับคือต้องรีบกลับ ผมก็คิดในใจว่าถ้ารีบมากนักก็ไม่น่าจะมาเรียนโยคะเลยจริงๆ เกรงใจ๋ เกรงใจ

อย่างที่หลายๆคนที่ฝึกโยคะจะทราบดีว่ามันเป็นท่าแสนสุข เป็นไฮไล้ท์ ของการฝึกโยคะเลยก็ว่าได้ แต่ดันมีชนกลุ่มน้อยมาทำลายความสุข (ต้องทำใจ) คนเป็นครูสอนโยคะ หากพูดอะไรที่รุนแรงมากเกินไป ก็อาจจะเกิดความไม่พอใจ และเป็นเรื่องที่ครูสอนโยคะหลายๆคนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตามแต่ ทุกชีวิตล้วนย่อมแตกต่างกัน แต่ทุกชีวิตสามารถสร้างความสมดุลย์ให้ชีวิตตนเองได้ และก็ไม่ควรปล่อยให้ อารมณ์อันขุ่นมัวมามีอำนาจเหนือจิตใจของตัวเราเอง ควรหาเวลาทำความเข้าใจกับชีวิตของตนเองให้มากขึ้น ควรมีการให้รางวัลกับชีวิตด้วย การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ หรือใช้เวลาว่างสร้างสมดุลย์ให้ชีวิต บางคนคิดว่าโยคะจะช่วยสร้างสมดุลย์ให้ชีวิตของเขาได้ โดยส่วนตัวของผมเห็นด้วยและคิดว่าเป็นไปได้สูง แต่ก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร และเวลาที่จะใช้ของแต่ละคนก็ย่อมไม่เท่ากันอย่างแน่นอน และเมื่อคุณรู้จักตัวคุณเองเพียงพอแล้ว อาจจะไม่ต้องเสียเวลาในชีวิตของคุณไปกับความสับสนวุ่นวายโดยเปล่าประโยชน์

ดีใจด้วยสำหรับคนที่เจอสมดุลย์ในชีวิตแล้ว และเป็นกำลังใจให้เสมอสำหรับคนที่ยังไม่เจอสมดุลย์

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะพบกับความสมดุลย์แห่งชีวิตของตนเองในไม่ช้านี้

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โยคะ...มนตรา...ศรัทธาและเสียงเพลงในใจของคุณ


โยคะ...มนตรา...ศรัทธาและเสียงเพลงในใจของคุณ

ทุกคนที่ฝึกโยคะเป็นประจำสม่ำเสมอ คงทราบและพอจะเข้าใจการสวดมนตราหรือมันตรา คือการเปล่งเสียงบทสวดมนตร์ที่เป็นภาษาสันสกฤต ทั้งๆที่ในตอนแรก เราไม่ค่อยจะทราบถึงความหมายของบทสวดต่างๆเหล่านั้นสักเท่าไร  รู้แต่เพียงว่าเมื่อสวดมนตรา บทต่างๆเหล่านั้นเสร็จแล้วจะรู้สึกโล่งสบายใจแบบที่บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน จึงทำให้เราอยากที่จะทราบถึงความหมายของบทสวดมนตราต่างๆเหล่านั้น รวมจนถึงเทคนิคการเปล่งเสียงในการสวดมนตราที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการสวดมนตราก็เป็นการทำสมาธิในขั้นเบื้องต้นอีกรูปแบบหนึ่ง มันทำให้จิตใจของเราสงบและนำจิตมาจดจ่อกับบทสวดมนตรา จึงทำให้เราตัดขาดจากสิ่งต่างๆที่สับสนวุ่นวายทั้งภายนอกและภายในจิตใจของเราไปชั่วขณะ  นอกจากนี้แล้วยังเป็นการรำลึกถึงครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาโยคะขึ้นมาบนโลกใบนี้แถมยังช่วยบริหารลมหายใจและปอดของเราไปในเวลาเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงบทสวดมนตร์สั้นๆ แต่ก็มีพลังมหาศาล

การสวดมนตรา เชื่อมโยงเราไปสู่เรื่องของพลังศรัทธา ที่กาลครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้วมนุษย์ต้องกาลสิ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ เพื่อให้พ้นจากความกลัวและด้านมืดในจิตใจของตน ความกลัวและด้านมืดในใจจึงเป็นแรงขับให้มนุษย์ในอดีต พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกเข้มแข็งและรู้สึกปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ   จึงพยายามที่จะติดต่อกับสิ่งที่ตนเองไม่เคยมองเห็นและเชื่อว่าสิ่งๆนี้มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่สามารถปกป้องคุ้มครองตนเองให้พ้นภัยได้ จึงเกิดเป็นคำพูดสั้นๆบ่งบอกถึงความปรารถนาในใจตน พอเปล่งเสียงซ้ำๆบ่อยเข้า จึงกลายเป็นเหมือนบทสวดมนตร์ภาวนา และทำสืบต่อกันมาเรื่อยๆ เกือบทุกชาติศาสนาเผ่าพันธ์ มักมีการสวดมนตร์ภาวนาตามแบบฉบับของตนเอง

การสวดมนตราซ้ำๆกันบ่อยครั้งจนเป็นนิจ จึงทำให้เกิดป็นจังหวะของการท่องมนตราขึ้นมาแบบไม่ตั้งใจ จังหวะการสวดมนตราของแต่ละสำนักและของแต่ละบุคคลก็จะมีความแตกต่างกัน เร็วหรือช้าไม่เท่ากัน คล้ายๆกับจังหวะปราณยามะการหายใจของแต่ละคนก็จะสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใดก็ฉันนั้น และจากการท่องสวดมนตราซ้ำๆไปมา จนศัพท์เทคนิคบ้านเราเรียกว่าจำได้ขึ้นใจ ก็พัฒนามาเป็นท่องสวดมนตราในใจ ฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเราทีละนิด ทีละนิด จนเป็นจังหวะทำนองอันไพเราะที่อยู่ในหัวใจของเรา เป็นไปในทิศทางเดียวกับการฟังดนตรีแล้วเราจะรู้สึกผ่อนคลายจิตใจชื่นบาน แล้วถ้าหากว่าดนตรีหรือเพลงๆนั้น มีจังหวะที่ใกล้เคียงกับจังหวะที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจเราแล้วด้วยล่ะก็ จะทำให้เรารู้สึกสงบมีสมาธิ ผ่อนคลาย เปิดใจ หรือในบางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกหึกเหิมขึ้นมาในจิตใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเพลงนั้นๆด้วย

และที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมอยากอธิบายให้เข้าใจว่า ทุกคนมีจังหวะชีวิตที่ไม่เหมือนกัน จังหวะดนตรีหรือเสียงเพลงที่ถูกฝังลึกอยู่ในจิตใจของเราแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกันด้วย มีบุคคลคนหนึ่ง ผมรู้จักเขาด้วยความบังเอิญเขามีจังหวะดนตรีในหัวใจที่ชัดเจน และยึดมั่นในจังหวะดนตรีนั้นเสมอมา ถึงแม้ว่าเขาจะหลงไหลในการฝึกโยคะมากขนาดไหน จังหวะดนตรีในหัวใจของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป เขาจึงตัดสินใจนำบทสวดมนตราตามแบบโยคะมาเปลี่ยนทำนองให้เป็นแบบเดียวกับจังหวะดนตรีในหัวใจของเขา  จึงเกิดเป็น โยคะแร็ปเปอร์ เอ็ม.ซี.โยจิก(คือไอ้หมอนี่มัน นำบทสวดมนตราแบบโยคะไปใส่ทำนองเพลงแร็ป ตามแนวของมันครับ) แรกๆผมรู้สึกรับไม่ค่อยได้และคิดในใจว่า โอ้แม่เจ้า! ไอ้นี่มันบ้าไปแล้วแน่ๆ ในความรู้สึกของผู้ฝึกโยคะทุกคนน่าจะคิดไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกันว่า เพลงแบบโยคะน่าจะมีจังหวะช้าๆฟังสบายผ่อนคลาย ความหมายดีประทับใจ ถึงแม้นจะนำบทสวดมนตรามาใส่ทำนองก็ควรใช้ทำนองที่ไม่เร็วมากจนเกินไป ซึ่งอาจจะคุ้นหูชื่อของผู้มีชื่อเสียงทางด้านการขับร้องเพลงแบบโยคะคือ กฤษณา แดส, ใจ อุททาน และคนอื่นๆอีกมากมาย แล้ว เอ็ม.ซี.โยจิก เขาเป็นใคร? มาจากไหน? ทำไม? ถึง ผ่าเหล่าผ่ากอ มาเป็นโยคะฮิปฮอป, โยคะแร็ป

ผมขอกล่าวถึง เอ็ม.ซี.โยจิก โดยสังเขป ผมก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับชายคนนี้มาก่อน ที่เจอกันโดยบังเอิญเพราะการที่ผมไปเข้าเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ ที่ประเทศฮ่องกง วันนั้นผมเพิ่งเข้าคลาส ชีวามุกติ กับ เดวิด ไลฟ์ เสร็จ กำลังตั้งท่าจะเดินทางกลับที่พัก ในระหว่างที่รอพลพรรคที่เดินทางไปด้วยกันจากเมืองไทย  ก็มีชาวต่างชาติคนหนึ่งไม่ระบุสัญชาติ ฟังจากการพูดน่าจะเป็นอเมริกัน รูปร่างสูงใหญ่ ตัดผมสั้นสกีนเฮด แต่มีหนวดเคราเล็กน้อย ใส่แว่นสายตา ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเกือบตลอดเวลา เดินเข้ามาทำการทักทายและจับมือผม มีป้ายคล้องคอเหมือนเป็นสต๊าฟ หรือเจ้าหน้าที่ในการจัดงาน ทุกคนในระแวกนั้นต่างมองมาที่เขาด้วยความสนใจ พอจะจับความรู้สึกของคนที่มองมาทางเขาได้ว่า เขาต้องเป็นคนดังมีชื่อเสียงอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่สิ่งที่ผมคิดในใจในขณะที่เขาจับมือและทักทายผมก็คือ แกเป็นใครวะ? ฉันไม่รู้จักแกว่ะ แล้วทำไมแกเลือกเข้ามาทักทายฉัน? แล้วใจความสำคัญที่เขาพูดกับผมก็คือว่า คืนพรุ่งนี้อย่าพลาด โปรดให้เกียรติมางานสังสรรค์ของเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ด้วย ผมก็คิดในใจขึ้นทันทีว่า แกเห็นฉันเป็นอะไรเนี่ย? ฉันไม่ได้เป็นผู้ชายใจง่ายอย่างที่แกคิดนะเว่ย ส่วนอีกใจหนึ่งก็คิดว่าไอ้หมอนี่อาจจะเป็นผู้อำนวยการในการจัดเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ครั้งนี้ก็เป็นได้ ผมจึงแอบถามชายสับสนทางเพศคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้น(มันเป็นครูโยคะระดับนานาชาติด้วย) มันเสือกตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่าอะไรกันคุณไม่รู้จักเอ็ม.ซี.โยจิก เหรอ? ผมก็คิดในใจอีกว่าถ้ารู้จักฉันจะถามแกทำไมว๊ะ ด้วยเสียงของมันนี่เองจึงทำให้ เอ็ม.ซี.โยจิก เดินย้อนกลับมาที่ผม พร้อมกับคนแถวนั้นอีก 3-4 คน คนที่เดินตามมาด้วยพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นนักร้องเพลงโยคะที่ดังมากคนหนึ่งในวงการโยคะปัจจุบัน แล้วในที่สุดผมก็ได้รู้ว่า มันเป็นนักร้องนี่เอง(ดันนึกเลยเถิดไปได้ไกลถึงขนาดว่ามันเป็นผู้อำนวยการในการจัดงาน) บอกตามตรงนักร้องเพลงเกี่ยวกับโยคะที่ผมก็รู้จักก็มีแค่ กฤษณา แดส และ ใจ อุททาน สองคนนี้ขวัญใจผมเลย แต่ผมยังไม่ได้ซื้อเพลงเขามาฟังแบบเป็นเรื่องเป็นราวซักที เพราะไปฟังทีไร ทั้งอัลบั้ม 8เพลง ชอบแค่ 2เพลงจึงตัดใจไม่ซื้อ(งกนี่เอง) นี่ก็คือเหตุที่ผมได้รู้จักกับ เอ็ม.ซี.โยจิก

 การที่เราจะสามารถเข้าไปในงานสังสรรค์ ของเอเชียโยคะคอนเฟอเรนท์ได้นั้น ก็ต้องซื้อบัตรผ่านเข้าไปในงาน ผมจำราคาไม่ได้ แต่คับคล้ายคับคลาว่า ไม่น่าจะต่ำกว่า 500บาท เมื่อคิดเป็นเงินไทยแล้ว มิน่าล่ะแกเลยพยายามมาทำความรู้จักฉัน  ด้วยนิสัยของคนไทย ขี้เกรงใจและชอบช่วยเหลือคนอื่นอย่างผม จึงตัดสินใจขึ้นมาทันทีในใจว่า งั้นเรารู้จักกันแค่นี้ก็แล้วกันเอ็ม.ซี.โยจิก เพราะที่สำคัญตอนนั้นผมยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเขาร้องเพลงแนวไหน เสียงของเขาจะสะกดผมได้เหมือนที่กฤษณา แดส หรือ ใจ อุททาน ร้องหรือเปล่าก็ไม่รู้

และแล้วเหมือนสวรรค์ลิขิต วันรุ่งขึ้น ผมเข้าเรียนคลาสตำนานหนุมาน กับ มาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ช่วงท้ายคลาส มาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ได้เชิญ เอ็ม.ซี.โยจิก มาเป็นแขกรับเชิญร้องเพลงให้ทุกคนที่ร่วมเรียนในคลาสฟัง บอกได้คำเดียวเลยว่า โอ้แม่เจ้า! เราตกยุคไปแล้วหรืออย่างไรกัน เดี๋ยวนี้เพลงโยคะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เลยหรือนี่ ทุกคนในคลาสรวมจนถึงมาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ต่างพากันกระโดดโรดเต้นกันแบบสุดเหวี่ยงเมื่อได้ยินเสียงเพลงสไตล์แร็ป หรือฮิปฮอป ที่เอ็ม.ซี.โยจิก ร้อง ก็คงมีแต่ผมคนเดียวที่อึ้ง.งง.จึงถือโอกาสแอบเก็บภาพมาเป็นหลักฐาน ดังนี้

ผมถ่ายภาพคู่กับมาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน
(เธอเคยขึ้นปกนิตยสารไทยแลนด์โยคะเจอร์นอล ฉบับเดือนม.ค - ก.พ. 2551)


คุณอ้อม, เอ็ม.ซี.โยจิก และผม








ผมมีโอกาสได้แอบถามเขาว่า ทำไมถึงได้นำบทสวดมนตราแบบโยคะ มาร้องเป็นเพลงฮิปฮอปหรือเพลงแร็ป? ไม่คิดหรือว่ามันจะดูขัดกับหลักการของโยคะตามแบบฉบับดั้งเดิม? สำหรับผม  ผมคิดว่ามันเป็นคำถามที่หนักแล้วก็ฟังดูค่อนข้างจริงจังสักนิดหนึ่ง แต่สีหน้าของผมเวลาทีถามเขาในขณะนั้น ก็ยิ้มๆพูดแบบทีเล่นทีจริง แต่ก็มีความคาดหวังในคำตอบและอยากทราบแนวคิดของเขาที่มีกับโยคะ

คำตอบที่เขาพูดก็คือว่า เขารักโยคะมาก เหมือนกับทุกๆคนที่มารวมตัวกันในงานเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ ที่ฮ่องกง แล้วในขณะเดียวกันเขาก็รักเสียงเพลง จึงเป็นคนที่มีดนตรีและโยคะอยู่ในหัวใจตลอดเวลา แต่ในปัจจุบันนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว จะมีครูสอนโยคะสักกี่คนกันในปัจจุบันที่สอนตามตำราโยคะดั้งเดิมแล้วประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีการผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  บางคนก็ฝึกโยคะอยู่เพียงสไตล์เดียวและไม่คิดจะเปลี่ยนไปฝึกสไตล์อื่น บางคนฝึกทุกสไตล์ เช่นกันบางคนก็ฟังเพลงในแนวที่ตนเองชอบเพียงแนวเดียว ส่วนบางคนก็ฟังเพลงได้หลายๆแนว เช่นเดียวกับตัวเขา เขาก็อยากฟังเพลงโยคะในแนวจังหวะที่เขาอยากฟัง ดนตรีทุกแนวในความคิดของเขานั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี ทำไมจะต้องมีการปิดกั้น ควรเปิดใจให้กว้างและยอมรับในสิ่งใหม่ๆบ้าง การฝึกโยคะสอนให้เขาไม่เบียดเบียนและแบ่งปัน การแบ่งปันความรักและความสุขทำได้หลายวิธี แล้วการนำบทสวดมนตราแบบโยคะมาร้องเป็นฮิปฮอปหรือแร็ปก็คือวิธีของเขาการได้กระโดดโรดเต้นตามจังหวะเพลงของเขาเป็นการปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะเก็บเอาไว้ออกมา พลังดังกล่าวหากเก็บไว้มากเกินไป จะถูกแสดงออกมาจากตัวเราเป็นกรรมดีและกรรมไม่ดี หากเราระบายมันออกมาเป็นกรรมที่ไม่ดีจะแย่มากๆ อาจจะไปเป็นการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือเบียดเบียนผู้อื่น
หากเราได้ปลดปล่อยพลังบางสิ่งบางอย่างในตัวเราออกมาแล้ว เรารู้สึกมีความสุขสบายใจ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เขาบอกว่ามันก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักการของโยคะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โดยตรงก็ตาม ซึ่งเขามีความถนัดแบบนี้ การกระทำของเขาเพี้ยนหรือไม่เพี้ยน เขาไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้ แต่เขามีความสุขและรู้สึกดีมากทุกๆครั้งที่ได้เห็นว่ามีคนกระโดดโรดเต้นไปกับจังหวะเพลงที่เขาร้อง เขาได้นำเสียงเพลงในใจของเขามาถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟัง ซึ่งก็มีหลายๆคนที่มีเสียงเพลงในหัวใจคล้ายกันกับเขา และเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ

แล้วคุณล่ะทราบหรือไม่ว่า เสียงเพลงจากส่วนลึกของจิตใจของคุณเป็นสไตล์ไหน? แนวไหน? จังหวะอะไร? สำหรับตัวผมแล้ว ยังไม่แน่ชัด อาจจะเป็น แนว สามช่า ก็ได้ และในอนาคตก็อาจจะมี จิมมี่โยคะสามช่า คู่แข่งกับ เอ็ม.ซี.โยจิค (มันจะไปกันใหญ่แล้ว..ว..ว)
หวังว่าสักวันคุณคงจะรู้จักกับจังหวะของเสียงเพลงที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจคุณ

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับทุกคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

กลิ่นไม่พึงประสงค์...จากเสื่อโยคะ

กลิ่นไม่พึงประสงค์...จากเสื่อโยคะ

ในบางครั้งที่ผมกำลังจะเริ่มสอนโยคะ พอเวลาที่นั่งลงบนเสื่อโยคะมักได้กลิ่นที่ไม่ค่อยพึงประสงค์ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเป็นกลิ่นอะไรกันแน่ก็ต้องเริ่มตรวจสอบแหล่งที่มาของกลิ่น โดยเริ่มจากคิดว่าอาจจะเป็นกลิ่นตัวของเรา แต่แล้วก็ไม่ใช่(ไม่ใช่ว่าไม่มีกลิ่นตัวนะครับ มีเหมือนกันแต่ไอ้กลิ่นที่ได้นี้ มันรุนแรงกว่ากลิ่นตัวของผมมากมายอยู่) จึงคิดต่อไปว่า อาจจะเป็นกลิ่นเท้าของเรา ก็เลยลองก้มลงไปแอบดมดูก็รู้สึกถึงการเข้าใกล้ที่มาของกลิ่นมากๆ ในที่สุดผมก็ทราบว่ามันคือกลิ่นของเสื่อโยคะนั่นเอง

นักเรียนหลายๆคนของผมมักมาบ่นให้ฟังเป็นประจำว่า เสื่อที่ใช้ฝึกโยคะมีกลิ่นที่ไม่ค่อยพึงประสงค์ ทำให้รู้สึกเสียสุขภาพจิตในการฝึกพอสมควร

สาเหตุของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์  จากการสอบถามและหาเหตุของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ก็ได้คำตอบว่า มักจะพบบ่อยในช่วงฤดูฝน เจ้าหน้าที่ที่ทำความสะอาดเสื่อโยคะชี้แจงให้ผมฟังว่า ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำความสะอาด แต่เนื่องจากไม่สามารถนำไปผึ่งข้างนอกกลางแจ้งได้หลังจากที่ซักล้างแล้วเพราะฝนตก จึงทำให้เกิดกลิ่นอับอันไม่พึงประสงค์ สตูดิโอโยคะหลายๆแห่งก็จะประสบปัญหาเดียวกันเช่นนี้

แนวทางในการรับมือกับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากเสื่อโยคะ ที่ผมขอแนะนำมีดังต่อไปนี้
1. หากสตูดิโอนั้นๆที่เราไปใช้บริการ มีเสื่อหลายๆผืนเราก็อาจจะไปหาผืนที่ไม่มีกลิ่นมาใช้
2. อาจจะต้องเตรียมเสื่อโยคะ ส่วนตัวของเราไปใช้เอง ตามประเทศที่พัฒนาแล้วผู้ฝึกโยคะที่เอาจริงเอาจังในการฝึกและห่วงสุขภาพอนามัยส่วนตัว มักจะนำเสื่อโยคะส่วนตัวมาใช้เองถึงแม้ว่าทางสตูดิโอนั้นๆจะมีเสื่อไว้ให้แล้วก็ตาม

ประสบการณ์ของผมที่เคย สังเกตดูว่านักเรียนของผม จะทำอย่างไรกันบ้างหากเกิดได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากเสื่อโยคะ
1.นักเรียนเหล่านั้นก็จะต้องบ่นให้เราฟังก่อนด้วยหน้าตาบูดเบี้ยว ประมาณว่าเป็นผู้บริโภคที่ถูกผู้ประกอบการไม่เอาใจใส่ในเรื่องของการบริการ
2.บางคนใช้การนำผ้าเช็ดตัวมาปูทับบนเสื่อโยคะ ก็จะกลบกลิ่นได้เล็กน้อยถึงปานกลางหากผ้าเช็ดตัวมีกลิ่นหอม
3.บางคนขอ สเปย์ปรับอากาศมาฉีดเพื่อดับกลิ่น อันนี้ต้องดูให้ดีว่าคนอื่นเขาจะเหม็นกลิ่นสเปย์ปรับอากาศหรือไม่
4.บางคนตัดสินใจยอมเจ็บตัวแต่ไม่ยอมทนกลิ่นเหม็น ด้วยการไม่ใช้เสื่อ ลงไปทำท่าฝึกบนพื้นแข็งๆผมก็เคยเห็น

แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมมักแนะนำให้นักเรียนหลายๆคน นำเสื่อโยคะส่วนตัวมาใช้เองเพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี และความมั่นใจในการฝึก เพราะบางคนไม่แค่ได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เคยมีบางคนถึงขั้นเกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันขึ้นตามเนื้อตามตัวเต็มไปหมด บางท่านบอกว่ามันเป็นภาระ ขี้เกียจที่จะต้องหอบหิ้วเสื่อโยคะไปด้วยทุกครั้งที่จะต้องไปฝึกโยคะ จึงจำใจยอมใช้เสื่อที่ทางสตูดิโอเขาจัดให้ ผมเลยคิดว่ามันไม่คุ้มกันเลย หากเราเลือกได้เราก็ควรจะเลือกสุขภาพอนามัยที่ดีที่สุดให้กับตัวของเราเอง หากเราเป็นผู้ที่ต้องฝึกโยคะเป็นประจำสม่ำเสมอและถ้าหากมันไม่หนักหนาอะไรจนมากเกินไป ก็ควรจะมีเสื่อโยคะคู่ใจไว้สักผืน เพื่อนำมันติดตัวไปกับเราในเวลาที่เราคิดว่าจะต้องไปฝึกโยคะ ฝึกให้เคยชินในที่สุดคุณก็จะพบว่าโยคะมันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งในชีวิตของคุณ

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับทุกคนตลอดไป

นมัสเต

จิมมี่โยคะ

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พฤศจิกายน 2552 เดือนแห่งกิจกรรมโยคะ...ของผมอย่างแท้จริง


พฤศจิกายน 2552 เดือนแห่งกิจกรรมโยคะ...ของผมอย่างแท้จริง

ผมหายไปจากการเขียนบล็อกเป็นเวลาเกือบเดือนเลยทีเดียว ก็ต้องขออภัยทุกๆท่านที่ติดตาม ก็เป็นไปตามชื่อเรื่องล่ะครับ เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เป็นเดือนที่ผมมีกิจกรรมในอาชีพครูสอนโยคะเย๊อะมากๆ

กิจกรรมแรก เริ่มต้นด้วยการ เตรียมเอกสารให้กับ โยคะอะลิอันซ์ องค์กรโยคะของอเมริกาที่ทำหน้าที่รับรองครูสอนโยคะและสถาบันการสอนโยคะทั่วโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมากๆอีกอย่างหนึ่งในชีวิตของผมเพราะจะได้เลื่อนเป็น E-RYT(Experience Registered Yoga Teacher) ซึ่งหมายถึงการได้รับการยอมรับจากองค์กรดังกล่าวว่า ผมเป็นครูสอนโยคะผู้มีประสบการณ์และสามารถสอนผู้อื่นให้เป็นครูสอนโยคะได้ โดยได้รับการรับรองจากโยคะอะลิอันซ์ของอเมริกา ในขณะเดียวกันก็ทำการรับรองสถาบันต้นสังกัดของผมด้วยคือ สถาบันFIT (Fitness Innovations Thailand Limited) ซึ่งเมื่อ2ปีก่อนหน้านี้ผมและสถาบันFITก็ได้รับการรับรองจากInternational Yoga Federation ซึ่งเป็นองค์กรโยคะระดับนานาชาติที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เท่ากับว่าตอนนี้ผมและสถาบันFIT ก็จะได้รับการรับรองจากสององค์กรโยคะยักษ์ใหญ่ระดับโลก(สุดยอดจริงๆเลย) ก็รบกวนทุกคนช่วยเป็นกำลังใจและคอยติดตามผลงานของผมด้วยนะครับ(ฝากตัวอย่างกับว่าเป็นดารานักร้องเลยนะแก) ในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบคอร์สครูสอนโยคะของสถาบันFIT ที่เปิด3กลุ่มการเรียน ณ.ตอนนี้ ใน1สัปดาห์ผมจะต้องใช้เวลาในการสอนนักเรียนทั้ง3กลุ่มนี้รวมสัปดาห์ละ 22ชั่วโมง และก็ยังคงมีงานสอน ตามฟิตเนสและเฮลท์คลับต่างๆที่เขาไว้วางใจให้ผมไปสอนอีกนิดหน่อย

กิจกรรมที่สอง คือการไปเข้าร่วมเวิร์คชอป ของคุณ Cle Souren, Senior Iyengar Yoga Teacher ที่ไอเยนคาร์โยคะสตูดิโอ ของคุณ Justin Herold เขามา4วันแต่ผมมีโอกาสเข้าเรียนแค่เพียงวันอาทิตย์ที่8พ.ย.วันเดียวเพราะเป็นวันหยุดของผม ไม่บ่อยครั้งนักที่ครูสอนโยคะที่มีประสบการณ์มากๆเช่นนี้จะมาเปิดเวิร์คชอป ต้องบอกตามตรงเลยว่าในชีวิตของผมไม่เคยเข้าเรียนโยคะในสไตล์ไอเยนคาร์มาก่อน ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ที่ไอเยนคาร์โยคะสตูดิโอ เป็นสตูดิโอเล็กๆ ที่อบอุ่นมากๆ ครูที่นี่ทุกคนเป็นกันเองมากๆ  ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทยให้ความสนใจเวิร์คชอปครั้งนี้ จนทำให้เกือบจะไม่มีที่ให้เดินในสตูดิโอเลยเชียว มีคนเข้าร่วมคลาสประมาณ25คน บอกตามตรงเลยว่าคุ้มค่ามากๆกับประสบการณ์ที่ได้รับ เพราะเราจะได้ความรู้ในการจัดระเบียบร่างกายในการฝึกโยคะ พร้อมกับการใช้อุปกรณ์ต่างๆมาช่วยในการฝึก จึงทำให้เราเข้าสู่ท่าฝึกต่างๆได้ลึกซึ้งถึงแก่นมากยิ่งขึ้น วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสฝึกโยคะอย่างสะใจ(ปกติเคยแต่สอนคนอื่นเขา) http://www.iyengar-yoga-bangkok.com/

ผมถ่ายภาพคู่กับ Justin Herold



พี่สุธรรม, Master Cle Souren, และผม



            ผมทำท่า Pincha Mayurasana+Scorpion โดยใช้เก้าอี้ช่วย โดยมีMaster Cle และ Justin คอยดูแล


กิจกรรมที่สาม กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่14-15 พ.ย.นี้ คือ ไทยแลนด์โยคะเฟสติวัล เป็นงานใหญ่ที่สุดของกิจกรรมโยคะในบ้านเรา ก็มีครูสอนโยคะที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์หลายท่านด้วยกัน และจะมีร้านค้าต่างๆมากมายนำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและโยคะมาจำหน่ายให้เราเลือกอย่างมากมาย งานนี้ตัวผมมีส่วนเกี่ยวข้องคือต้องไปเปิดบู๊ทกับทางต้นสังกัดของผมสถาบันFIT และมีหน้าที่ไปเดินป้วนเปี้ยนในงาน ถ้ายังไงไปเจอกันในงานที่บู๊ทของสถาบันFITก็แล้วกัน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.yogajournalthailand.com/

กิจกรรมที่สี่ ในวันที่27-29 พ.ย. นี้ ทางต้นสังกัดของผม(Fitness Innovation Thailand Limited)รับหน้าเสื่อ เป็นผู้อาสาจัดงาน เอเชีย ฟิตเนส คอนเวนชั่น 2009 คือการรวมพลของคนฟิตเนส และคนรักการออกกำลังกาย ระดับเอเชีย งานนี้พวกเราทุ่มกันสุดตัว เพราะมันเป็นงานที่จะจัดขึ้นครั้งแรกในเมืองไทย ผมทำหน้าที่ประสานงานทางด้านโยคะ(เล็กน้อย) เพราะส่วนใหญ่คนอื่นเขาทำกันไปเกือบหมดแล้ว ในงานนี้จะมีบุคคลากรที่มีชื่อเสียงทางด้านฟิตเนสและการออกกำลังกาย มาเปิดเวิร์คชอป อย่างครบครันเกือบทุกรูปแบบทุกประเภทของการออกกำลังกาย  และจะมีการนำเสนอการออกกำลังกายแบบแปลกๆใหม่ๆมาให้เราเห็นแน่นอน ในส่วนของโยคะที่ผมจะต้องเข้าไปช่วยประสานงานก็มีวิทยากรที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิเช่น Beth Shaw จากYogaFit, Simon Borg Olivier จากSynergy Yoga, Jess Goholm จากCrunch และคนอื่นๆอีกมากมาย สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.getfitasia.net/


                                                    Jess Gronholm (Crunch)                            




                                               Beth Shaw (YogaFit)


                                                  
                               
                                                      
                                                      
                                   Simon Borg Olivier (Synergy Yoga)
                 


นี่แหละครับกิจกรรมของคนที่บ้าโยคะจนเข้าสายเลือดอย่างผม ผมคิดว่าศาสตร์แห่งโยคะนั้นทำให้ผมต้องคอยหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ เพื่อพัฒนาตนเองแล้วก็นำความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องทางด้านโยคะ มาถ่ายทอดส่งต่อไปยังนักเรียนที่เข้าคลาสเรียนกับผม รวมจนถึงทุกคนที่ต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านโยคะ  สำหรับผมแล้วหลังจากที่ฝึกโยคะก็มีสิ่งดีๆต่างๆเกิดขึ้นในชีวิตผมมากมาย ผมว่าการฝึกโยคะเป็นสิ่งที่วิเศษมากๆ หากคุณเป็นผู้ที่ฝึกโยคะอยู่แล้ว ผมขอแนะนำให้ฝึกอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอไม่หักโหม ทำการฝึกตามศักยภาพของเรา แล้วคุณจะพบถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทางที่ดีขึ้น อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจนทำให้คุณไม่สามารถถอนตัวจากการฝึกโยคะได้อย่างเช่นที่ผมและอีกหลายๆคนกำลังเป็นอยู่ ไม่เชื่อก็ลองดู

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพลังแห่งโยคะจะอยู่กับผมและทุกๆตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ



ป้ายกำกับ

Powered By Blogger