เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Evolution Asia Yoga Conference 2010. Hongkong.

Evolution Asia Yoga Conference 2010. Hongkong.

กลับมาอีกแล้วครับ สำหรับ มหกรรม เอเชีย โยคะ คอนเฟอร์เรนซ์ 2010 ที่ฮ่องกง ปีนี้ก็จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม - จันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2553  สำหรับปีนี้เป็นการจัดครั้งที่ 4แล้วครับ ครั้งแรกที่จัดงานนี้ขึ้นมา  ผมอยากจะไปมากๆ แต่ก็ไม่สามารถ ด้วยความเก็บกด ก็เลยทำให้ผมไปงานนี้2ปีซ้อนเลยครับหลังจากนั้น(ปี2007ไม่ได้ไป แต่ไปปี2008และปี2009ครับ) เนื่องจากปี2008 พอไปแล้วก็เกิดอาการติดใจ จึงทำให้ปี 2009 ผมก็ไปอีกอย่างไม่ต้องลังเลใจใดๆทั้งสิ้น  แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ บอกได้เลยว่าคุ้มค่าจริงๆ หากคุณเป็นแฟนพันธ์แท้โยคะตัวจริง หากได้ไปร่วมสัมผัสประสบการณ์นี้ รับรองไม่ผิดหวังแน่ๆครับ เพราะการที่จะเชิญครูโยคะระดับโลกมาสอนในงานเดียวกันได้มากมายขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ แสดงถึงความมีศักยภาพโดยแท้ของผู้จัดงาน ปีนี้ก็จะมีครูสอนโยคะระดับโลกมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์มากมาย อาทิเช่น Sri Dharma Mittra, Sean Corn, Ana Forrest, Twee Merrigan, Jason Crandell, David Moreno, Andrey Lappa, Simon Low, Ganesh Mohan, Judy Krupp, Mark Whitwell, Micheal Besnard, Patric Creelman, Calos Pomeda, Govinda Kai, Yogic Viveshketu และครูโยคะระดับโลกท่านอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกมากมาย ซึ่งทุกท่านสามารถเข้าไปเยี่ยมชมข้อมูลได้ที่ เว็บไซต์ http://www.asiayogaconference.com/2010/

ด้วยความประทับใจส่วนตัว ที่ผมได้ไปสัมผัสประสบการณ์โยคะระดับเอเชีย(ที่เหมือนระดับโลก) ก็เลยคิดว่าปีนี้ผมจะขอรับอาสาทำหน้าที่เป็นคนช่วยประสานงานให้  สำหรับคนที่สนใจจะไปร่วมงานครั้งนี้ เพราะผมเชื่อว่ายังมีชาวไทยอีกหลายต่อหลายท่านที่สนใจอยากจะไปร่วมงานนี้  แต่อาจจะติดปัญหาความไม่สะดวกบางประการ เช่น อาจจะไม่มีเพื่อนไป  อาจจะไม่มีใครคอยแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเลือกคลาสที่จะเข้า หรืออาจจะกลัวในเรื่องของภาษา หรือค่าใช้จ่ายที่อาจจะบานปลาย แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกครับตอนนี้ผมพยายามเตรียมตัวจัดการประสานงานให้ทุกอย่าง ทั้งเรื่องค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ, ค่าลงทะเบียนในการเข้าร่วมงานตลอด 4วัน, ค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ทางเราจะคอยช่วยคาดคะเนให้ว่าควรเตรียมงบประมาณเท่าไหร่ เนื่องจากประสบการณ์ที่ผมไปฮ่องกงมาหลายครั้ง และมีทีมงานบางคนของเรามีแฟนเป็นชาวฮ่องกง ที่พร้อมจะคอยช่วยประสานงานและอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่ฮ่องกง

ดังนั้น สำหรับท่านที่สนใจก็เตรียมตัวและเตรียมทุนทรัพย์ได้เลยครับ(เตรียมเงิน+เตรียมลางานสัก 1สัปดาห์) และสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้โดยติดต่อกับผมทาง อีเมล์ jimmythaiyoga@yahoo.com

การเดินทางไปยังประเทศฮ่องกง ใช้แต่หนังสือเดินทาง(Passport) ไม่ต้องขอวีซ่า ค่อนข้างสะดวก

สำหรับ หมายกำหนดการณ์ อย่างไม่เป็นทางการ(อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อย) ก็จะใช้เวลาในการเดินทาง ท่องเที่ยวและเข้าร่วมงาน รวมทั้งหมด 7วัน

วันพุธที่ 12 พ.ค. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ และออกเดินทาง ซึ่งจุดหมายเป็นไปได้ 2อย่างขึ้นกับกลุ่ม 1.อาจจะไปลงที่มาเก๊า โดยใช้เป็นทางผ่านเพื่อท่องเที่ยว พอเที่ยวหนำใจแล้วค่อยลงเรือข้ามไปยังเกาะฮ่องกง หรือ 2.อาจจะบินตรงไปยังฮ่องกงเลย

วันพฤหัสฯที่ 13 พ.ค. เป็นวันที่เราจะไปท่องเที่ยวฮ่องกง ในสถานที่ ที่คนส่วนใหญ่อยากจะไปกันแบบทั้งวัน ทั้งเที่ยวทั้งช้อปปิ้ง

วันศุกร์ที่14-จันทร์ที่17 พ.ค. ก็เข้าร่วม มหกรรม เอเชีย โยคะ คอนเฟอร์เร้นท์ 2010 (ซึ่งช่วงค่ำ อาจจะไปช้อปปิ้งที่ ย่าน มองก๊อก)

วันอังคารที่ 18 พ.ค. เดินทางจากสนามบินฮ่องกง กลับสู่สนามบินสุวรรณภูมิ

เรื่องค่าใช้จ่าย คงต้องขอเช็คราคาให้ ชัดเจนมากกว่านี้อีกนิดหนึ่ง แต่คิดว่า ค่าลงทะเบียนเข้างาน+ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ+ที่พัก น่าจะประมาณ 40,000บาท (ไม่รวมค่าอาหาร, ค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวในวันที่13 พ.ค.และค่าเดินทางแต่ละวันในฮ่องกง)  ค่าอาหารหากเรารับประทานแบบประหยัดก็น่าจะมื้อละประมาณ120บาท ส่วนค่ารถไฟฟ้าและค่าแท็กซี่ก็น่าจะประมาณวันละ150บาท(ถ้าเราไม่ไปเที่ยวไหนมากเกินไป) สิ่งที่จะเกินงบคือการช้อปปิ้งครับ ทุกครั้งที่ไปต้องมีอันช้อปปิ้งซื้อของเกินงบทุกที

แล้วผมจะคอย อัพเดตข้อมูลให้ทราบเรื่อยๆ หากมีข้อสงสัยประการใดก็ส่ง อี เมล์ มาถามได้เลยครับ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงจะได้ไปร่วมงาน มหกรรม เอเชีย โยคะ คอนเฟอร์เร้นท์ ที่ฮ่องกงด้วยกัน

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สอนโยคะอย่างไร้ความสุข...เพราะเกิดความทุกข์...อยากเข้าห้องสุขา

จิมมี่ ใน ท่าภาสาสนะ(Noose Pose).... .ไม่ได้นั่งอึ๊

สอนโยคะอย่างไร้ความสุข...เพราะเกิดความทุกข์...อยากเข้าห้องสุขา

เหตุการณ์ที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ครูสอนโยคะทุกคนไม่อยากจะเจอเลยจริงๆ(สาบานได้) แต่ก็เคยเกิดขึ้นกับผมหลายครั้งหลายครา(รวมถึงเมื่อเช้านี้ด้วย สดๆ ร้อนๆ) โชคดีตรงที่ผมสามารถเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งไป ก็คือการที่เรามีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ต้องการเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายหนัก ในขณะที่กำลังดำเนินการสอนโยคะอยู่(ปัญหาระดับโลกของครูสอนโยคะทุกคน)  แล้วผมก็คิดว่าครูโยคะหลายๆท่านก็น่าจะเคยเจอกับประสบการณ์นี้บ้างไม่มากก็น้อย

ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ ท้องไส้ปั่นป่วนอยากเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายหนักของผม ก็ต้องย้อนไปเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว ตอนนั้น ก่อนสอนผมดันไปรับประทานอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ผมไม่เคยทานมาก่อน หลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงก็ต้องสอนคลาส  อาการมันมาเริ่มตอนสอนไปได้สักประมาณ 35นาที(กำลังเป็นช่วงที่เล่นท่าค่อนข้างหนักพอดีเชียว) สิ่งที่ผมทำในตอนนั้นก็คือ ต้องยืนสอน แบบขาหนีบๆ ดูเรียบร้อยมากๆ การพูดก็จะพูดช้าลง เสียงเบาลงจากมาตรฐานเดิม และพูดน้อยกว่าปกติที่เคยเป็น(ไม่มีการสาธิตใดๆทั้งสิ้น ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนกับร่างกายของเราน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้นจะมีคนเอาปืนมาจ่อหัวก็ไม่ยอมสาธิต)  ในวันนั้นผมจำได้ดีว่าผมต้องอดทนสอนมาจนกระทั่งเหลือเวลาอีกเพียง 10นาทีก็จะจบคลาส ผมจึงให้นักเรียนนอนพักในท่าศพอาสนะ ปิดไฟในห้องให้มืด แล้วก็อาศัยความมืดรีบแว๊บออกไปเข้าห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่นักเรียนกำลังนอนพักในท่าศพอาสนะอยู่ ผมใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำน่าจะประมาณ 5-7 นาที แล้วก็รีบกลับมา ดำเนินการสอนแบบเนียนๆไปจนจบคลาส(เอาตัวรอดไปได้ อย่างไม่น่าเชื่อ)

ครั้งที่สอง เป็นสถานการณ์ที่โหดร้ายมากที่สุดในชีวิตการเป็นครูสอนโยคะของผมเลยก็ว่าได้ คิดถึงทีไรเป็นต้องขนลุกสู้ ชูชันทุกทีไป  วันนั้นถ้าจำไม่ผิดเป็นเช้าวันเสาร์ ผมต้องสอนประมาณ 9.00น. ในขณะที่กำลังเดินทางจะไปสอน รู้สึกง่วงนอน ยังสะลึมสะลืออยู่ เนื่องจากเป็นการสอนคลาสแรกของวัน ก็เลยแวะเข้าร้านสะดวกซื้อชื่อดังเพื่อหากาแฟเย็นดื่ม(ปัจจุบัน ผมเลิกดื่มกาแฟไปแล้วครับ)  เพื่อตอนที่สอนจะได้ช่วยกระตุ้นให้เรารู้สึกตื่นตัว คึกคัก มีชีวิตชีวา  ก็จริงๆด้วยครับ ตอนเริ่มสอนผมตื่นตัวมีชีวิตชีวา มีการยิงมุกฮาใส่สมาชิกตั้งแต่ตอนต้นของคลาส แต่พอเวลาผ่านไปได้ประมาณ 15นาทีเท่านั้นเอง ก็ฮาไม่ออกแล้วครับ ความทุกระทม เริ่มค่อยๆถาถมเข้ามาทีละนิด ทีละนิด จนต้องทำให้ยืนสอนบิดไปบิดมา ก็คล้ายๆเดิมครับ ต้องยืนสอน แบบขาหนีบๆ ดูเรียบร้อยมากๆ การพูดก็จะพูดช้าลง เสียงเบาลงจากมาตรฐานเดิม และพูดน้อยกว่าปกติที่เคยเป็น(ไม่มีการสาธิตใดๆทั้งสิ้น ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนกับร่างกายของเราน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้นจะมีคนเอาปืนมาจ่อหัวก็ไม่ยอมสาธิต) แต่เนื่องจากเหตุการณ์มันแตกต่างจากครั้งแรกก็คือ ผมต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เนิ่นนานมากๆ(ต้องใช้ขันติขั้นสูง) ภาวนาในใจตลอดเวลาว่า อย่าเรี่ยราด ออกมาเชียวน๊ะ (หากเกิดการเรี่ยราดออกมาคงเป็นที่โจษจรรกันไปทั่ว ว่าครูคนนี้เคยขี้แตกตอนสอนโยคะมาแล้ว ใครจะไปเรียนกับเขาต้องระวังให้ดี) แค่คิดก็สยองแล้วครับ  วันนั้นท่าสอนจึงเบาๆเรื่อยๆ ไม่ต้องใช้พลังมาก เป็นไปตามสูตรล่ะครับ และปัญหาที่สำคัญในขณะนั้นก็คือสถานที่แห่งนั้นห้องน้ำดันไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกับชั้นที่ผมสอนและอยู่ไกลจากตำแหน่งที่สอนพอควร ผมจึงไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์เหมือนกับเหตุการณ์ในครั้งแรกได้ ผมต้องทนมาจนถึง 5นาทีก่อนจบคลาสจึงตัดสินใจจบคลาสก่อนเวลา 5นาที (ไม่มีการ พูดคุย หรือ ตอบคำถามข้อสงสัยใดๆ จากการสอนในตอนนั้น เพราะธุระของผมสำคัญอย่างแสนสาหัส) พอถึงห้องน้ำถอดกางเกงแทบไม่ทัน แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยความทุลักทุเล

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ชีวิตผมก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย คือจะต้องไปให้ถึงสถานที่สอนก่อนเวลาและเข้าห้องน้ำก่อนเสมอถึงแม้จะไม่มีการขับถ่ายใดๆเลย แต่ก็จะเข้าไปนั่งก่อน(เผื่อมันจะมา) เหมือนคนเป็นโรคจิตก็ไม่เชิง แต่ก็รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ทำเช่นนี้ก่อนสอน  หากวันไหนผมทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มบางอย่างที่มีส่วนผสมของนมก่อนที่จะสอน แล้วมีเวลาไปเข้าห้องน้ำก่อนที่จะสอน บางทีไปนั่งมันก็มาจนทำให้เข้าห้องสอนช้ากว่าเวลาสอนเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าเข้าไปสอนแบบทรมานอย่างแน่นอนครับ

ผมหวังว่าเหตุการณ์ที่ผมได้กล่าวอ้างเล่าให้ฟังทั้งหมด คงจะเป็นอุทาหรณ์คอยเตือนเพื่อนร่วมวิชาชีพหรือทุกท่านได้เข้ามาอ่านบล็อกของผม ได้แง่คิดที่นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตของท่านได้อย่างเหมาะสม จะได้ไม่พบกับความทุกข์ระทม อย่างเช่นที่ผมได้ประสบมา

ขอพลังแห่งโยคะ และความอดทนในเรื่องนี้ที่ผมเคยมี...จงอยู่กับผมตลอดไป.

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สัมผัสแห่งโยคะ(ซึ่งมีนัย[ะ]แอบแฝง)


สัมผัสแห่งโยคะ(ซึ่งมีนัย[ะ]แอบแฝง)

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ มีผู้ฝึกโยคะที่เป็นสุภาพสตรีหลายๆท่าน (รวมจนถึงนู๋เปิ้ล Reception ที่สถาบัน Fit ต้นสังกัดของผมด้วย) ได้พูดคุยกับผมถึงเรื่องของการที่ครูสอนโยคะซึ่งเป็นผู้ชายเข้ามาจับเนื้อต้องตัวผู้ฝึกที่เป็นสุภาพสตรี แล้วก็เกิดเป็นกระแสของความไม่พึงพอใจของสุภาพสตรีที่เป็นผู้ฝึก(เหมือนถูกล่วงละเมิด)ในพฤติกรรมดังกล่าวนี้ของครูผู้สอนโยคะ

 ซึ่งตามขนบธรรมเนียม+วัฒนธรรมอันดีงาม ของไทยเรา ผู้หญิงมักได้รับการปลูกฝังมาว่าควรจะต้องรักนวลสงวนตัว ทำอะไรก็ต้องคอยระมัดระวังตัว ไม่ควรจะให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวได้ง่ายๆ(อันนี้ เป็นแนวคิดเนิ่นนาน ดั้งเดิมของไทยเรา) ปัจจุบันยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว แนวคิดบางอย่างสำหรับบางคนก็เปลี่ยนแปลงตามไป แต่ผมเชื่อว่าคนไทยหลายๆคนก็ยังไม่ทิ้งแนวคิดดั้งเดิมที่ได้รับอิทธิพลมาจากบรรพบุรุษของเรา

จึงเป็นประเด็นขึ้นมาว่า การเข้ามาช่วยจัดท่าฝึกโยคะให้กับผู้ฝึก ของครูโยคะนั้น สมควรหรือไม่อย่างไร? ตามความคิดของผม บอกตรงๆเลยว่าพูดยากครับ ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ ว่าเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งสำหรับการเข้าไปช่วยจัดท่าฝึกของครูโยคะ ผมได้อ่านเจอในคู่มือ Anusara Yoga Teacher Training Manual เขาได้มีการชี้แนะถึงเรื่องดังกล่าวนี้ไว้ค่อนข้างชัดเจนดี ผมจึงพยายามแปลเป็นภาษาไทยตามความเข้าใจของผมมาให้พี่น้องร่วมอุดมการณ์ทั้งหลายลองพิจารณากันว่าเป็นเช่นไร

การจัดท่าฝึกและช่วยปรับการทำท่าอาสนะให้ดีขึ้น(Adjustments and Improvements)

จะกระทำเมื่อ
- ท่าผิดจึงจัดท่าให้
- จัดท่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของท่า และความถูกต้อง

ใช้เวลาในการจัดท่าให้น้อยที่สุด แต่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และควรให้ทำท่าค้างไว้ จนกว่าจะบอกรายละเอียดทุกขั้นตอน ในท่าฝึกนั้น ๆ จนหมดแล้วจึงค่อยเปลี่ยนท่า

รูปแบบของการจัดท่าฝึก
Verbal Adjustments การใช้คำพูด ช่วยในการจัดท่าฝึก (ไม่มีการแตะต้องตัวผู้ฝึก)
Physical Adjustments ใช้การสัมผัสช่วยในการจัดท่าฝึก
(พูดง่ายๆก็คือ  ค่อยๆบอกนักเรียนของเราให้ทำให้ถูกต้องมากที่สุดก่อน หากพูดจนปากเปรียกปากแฉะแล้วก็ยังทำท่าไม่ได้สักที จึงค่อยเริ่มลงไม้ลงมือ เข้าไปแตะต้องตัวเพื่อช่วยให้เขาทำท่าได้ดีขึ้น)

- ควรขออนุญาต ผู้ฝึกก่อนที่จะเข้าไป ใช้การสัมผัสช่วยในการจัดท่าฝึกตำแหน่งที่จะแตะ ตำแหน่งการเข้าไปจัดท่า และควรจะอยู่ด้านข้างหรือด้านหลังของผู้ฝึก
- แน่ใจว่านักเรียนที่ฝึกจะไม่ เสียการทรงตัวและบาดเจ็บจากการที่เราเข้าไปช่วยเขาจัดท่าฝึก

Types of Touch ลักษณะของการเข้าไปสัมผัสตัวผู้ฝึกโยคะ

Investigative - หาจุดที่ผู้ฝึกบกพร่องอยู่

Directive - แตะเพื่อบอกตำแหน่ง ในการจัดระเบียบร่างกาย

Alerting - แตะเพื่อบอกถึงจุดตำแหน่งที่ผู้ฝึกจะต้องมองไป

Adjusting - แตะเพื่อจัดให้ได้ท่าฝึกที่ถูกต้องเหมาะสม ตามโครงสร้างร่างกายของผู้ฝึก

Stabiliqing - แตะเพื่อช่วยให้ผู้ฝึกมีการทรงตัวที่ดีขึ้น

Loving - แตะด้วยความรัก ความเมตตา ที่จะพัฒนาศักยภาพของผู้ฝึก (อย่าคิดเกินเลย)

Random - แตะแบบซุ่มเดา ไม่มีจุดมุ่งหมาย (ไม่ควรทำ) จะทำให้ผู้ฝึกสับสน

Sensual - การแตะที่ไปกระตุ้นความรู้สึก (แบบรูปไร้ไปตามผิวเบา ๆ) ไม่เหมาะสม

Invasive - แตะแบบรุกล้ำ แตะในส่วนที่ไม่สมควร เช่น ใบหน้า, ใบหู, สะโพก(ก้น), หน้าท้องส่วนล่าง และหน้าอก(สำหรับผู้หญิง)

จากประสบการณ์ของผมก็เคยได้เห็น ได้เจอ ได้ฟังมาเยอะเหมือนกัน กับพฤติกรรมอันไม่สมควรของเพื่อนร่วมวิชาชีพ อย่างเช่น ครูสอนโยคะบางคนไม่ดูแลนักเรียนรุ่นแม่ๆป้าๆ จ้องแต่จะดูแลแต่นักเรียนสาวๆจนออกนอกหน้า, ครูสอนโยคะบางคนก็เลือกที่จะไปช่วยจัดท่าให้แต่นักเรียนสาวๆที่รูปร่างหน้าตาดีๆจนออกนอกหน้า, หรือบางคนก็อาจจะพูดจาหาผลประโยชน์แอบแฝงนอกเหนือจากการสอน(ไอ้พวกฉวยโอกาส, ไม่มีจรรยาบรรณ)

 สำหรับเจตนาในการจับต้องของครูผู้สอนนั้นผมคิดว่า ผู้ที่ถูกจับน่าจะต้องรู้สึกถึงเจตนาของการจับนั้นๆ ว่าครูเขาต้องการเข้ามาช่วยหรือว่าคิดเป็นอื่น

ขอพูดสักนิดหนึ่งเถิดน๊ะ! แต่ผู้ฝึกโยคะสาวๆหลายคน ก็ยินยอมพร้อมใจให้ครูจับต้องได้เต็มที่(หากว่าครูผู้สอนโยคะ คนนั้นตรงสเป็ก คมเข้ม,หล่อล่ำ ฯลฯ) หรือไม่จริง?  อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เป็นไปตามกำลังศรัทธา แต่ก็อย่าให้น่าเกลียดเกินไป เดี๋ยวจะเป็นเป้าสายตาและเป็นขี้ปากของคนอื่นที่ร่วมคลาส

พึงระลึกไว้เสมอว่า เรื่องดีๆมักจะไปแบบเงียบๆช้าๆเรื่อยๆ...  แต่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่ไม่ค่อยจะดีแป๊บเดียวรู้กันทั่วหน้า (มันเป็นแบบนั้นจริงๆครับ)

ดังนั้นทำอะไรไว้ก็ตาม พึงสังวรณ์ไว้ให้ดี สมัยนี้เวรกรรมตามทันหมด และเวรกรรมมาเร็วเหมือนติดจรวดด้วย(ขอบอกในฐานะพุทธศาสนิกชนคนหนึ่ง)

หลายต่อหลายครั้ง ด้วยการที่เราเกรงใจไม่กล้าจะแสดงออกกับครูผู้สอน กลัวจะเป็นการไม่ให้ความเคารพกับผู้สอน แต่จริงๆแล้วถ้ารู้สึกว่า ไม่อยากให้ครูสอนโยคะเข้ามายุ่งกับเราเลย ขยะแขยง จะมีแนวทางใดบ้างที่พอจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้

1. เลิกไปเรียนโยคะ เพื่อเป็นการตัดปัญหา(วิธีนี้พวกหมด หนทางในชีวิตเขาทำกัน)หรือหลีกเลี่ยงการไปเรียนโยคะกับครูคนนั้น(เปลี่ยนไปเรียนกับครูคนอื่นดูบ้าง) ถ้าอาการหนักอาจจะเปลี่ยนสถานที่เรียน
2. พาแฟนไปเรียนด้วย เพื่อครูจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับเรา
3. พาเพื่อนที่มีฝีปากกล้าไปด้วย ถ้ามีปัญหาจะได้ช่วยด่าครูเลย
4. แสดง ท่าทางที่เป็นภาษาร่างกาย ปฏิเสธการเข้ามาแตะต้องตัวของครูผู้สอนทุกครั้งๆ หรืออาจจะพูดบอกครูผู้สอนไม่ให้มายุ่งกับเราแบบสุภาพทันทีเลย
5. บอกครูก่อนที่คลาสจะเริ่ม เช่นว่า "ครูคะ ไม่ต้องช่วยจัดท่าให้นะคะ บ้าจี้ค่ะ ใครมาถูกตัวจะเสียจริตค่ะ"
6. พยายามแต่งตัว อย่าให้วาบหวิวมากเกินไป ในเวลาไปฝึกโยคะ
7. พยายาม ทำท่าโยคะอาสนะให้ถูกต้องมากที่สุด ครูจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับเรา

ในฐานะที่ผมก็เป็นครูสอนโยคะผู้ชายคนหนึ่ง(เป็นครูโยคะแบบที่ขายรูปร่าง หน้าตาด้วย) ก็ต้องขอกราบเรียนผู้ฝึกโยคะที่เคยฝึกโยคะกับผมทุกๆท่าน หากว่าผมได้กระทำการใดๆ ที่เป็นการล่วงเกินทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ อาจจะด้วยการแตะเนื้อต้องตัวหรือการพูดการจาก็ตามแต่ ก็ต้องขอกราบประทานอภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย  และถ้าหากมีความอึดอัดใจประการใด หรือข้อเสนอแนะใดๆ หลังจากที่ฝึกโยคะกับผมเสร็จแล้วก็สามารถ บอกกล่าวหรือชี้แนะผมได้ทันทีแบบไม่ต้องเกรงใจ เพื่อผมจะได้นำข้อมูลต่างๆเหล่านั้นมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขการสอนโยคะของผมให้ดียิ่งๆขึ้นไป

สำหรับทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล็อก หากมีประสบการณ์ดังกล่าวข้างต้น ก็อย่าลืมแบ่งปันประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ เพื่อจะได้เป็นกรณีศึกษาให้กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเรา

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศีลธรรม, จรรยาบรรณอันดีงามของการเป็นครูสอนโยคะจะอยู่กับผมและครูสอนโยคะทุกคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อาหารกับการฝึกโยคะ

อาหารกับการฝึกโยคะ

มีคำกล่าวกันไว้ว่า “เมื่ออาหารบริสุทธิ์ สภาพภายในของบุคคลก็ย่อมจะมีความบริสุทธิ์ด้วย” จึงเป็นหลักฐานที่เห็นได้ด้วยตนเองว่าถ้าคนเราเลี้ยงชีวิตด้วยอาหารหยาบ ร่างกายก็จะหยาบไปด้วย คือกินของที่ไม่สะอาด ร่างกายก็จะพลอยมีผิวพรรณไม่งดงาม โดยสลับกัน ถ้าคนเรามีงานทางใจที่จะต้องทำอยู่มาก ก็จะต้องสนองกินอาหารประเภทเบา ๆ และมีคุณค่าในการบำรุงรักษาร่างกาย


เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เจือปนนั้น ไม่เพียงแต่เผาไหม้ร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจที่ตื่นเต้นไม่สงบระงับอีกด้วย ถ้าในมื้อเย็นหรือในงานเลี้ยงเรากินอาหารขนาดหนักเราก็จะตกอยู่ในสภาพมึนซึมไปขณะหนึ่งหลังจากหยุดรับประทานแล้วจึงกล่าวได้ว่าอาหารมีผลกระทบกระเทือนทั้งจิตใจและร่างกาย ดังนั้น โยคะจึงได้แบ่งอาหารออกเป็นสามประเภทดังนี้ ( Guna 3 )

1. อาหารเบา (สัทวิก) เช่น ผลิตผลประจำวัน (นม เนย ไข่) ผักบางชนิด ผลไม้ และผลไม้เปลือกแข็งที่มีเนื้ออยู่ข้างใน เช่น ลูกเกาลัด จาวตาล

กล่าวกันว่าอาหารประเภทนี้ทำให้จิตใจสงบระงับและช่วยรักษาร่างกายให้บริสุทธิ์ในขณะเดียวกันก็ให้กำลังวังชาและพลานามัยได้เป็นอย่างดีด้วย

2. “ราชสิก” อาหารประเภทนี้ได้แก่ ปลา ไข่ เนื้อ เกลือ และเครื่องเทศ อาหารพวกนี้ปลุกอารมณ์ให้เร่าร้อน

3. “ทามะสิก” อาหารประเภทที่สามนี้ได้แก่ เนื้อสัตว์บางชนิด สุราต่าง ๆ กระเทียม หัวหอม และยาสูบ ทำให้เกิดความระคายเคืองและทำให้จิตใจเต็มไปด้วยความโกรธและความเฉื่อยชา

ภควคีตา กล่าวกันว่า “อาหารที่เพิ่มพลังวังชา สุขภาพ และความร่าเริง มักมีรสละมุนละม่อม คนที่มีอารมณ์เร่าร้อนชอบอาหารรสขม เปรี้ยว เค็ม ร้อน และรสแหลม ซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดการเจ็บปวด ความเศร้าโศก และโรคภัยไข้เจ็บอาหารรสชืด ๆ และเศษอาหารที่เหลือ ๆ ก็จัดอยู่ในอาหารประเภทที่สามดังกล่าวข้างต้นนี้”

เพื่อเป็นการสนับสนุนคำสอนของโยคี อาชีพทางแพทย์ในปัจจุบันนี้ ได้ให้ความสำคัญอย่างมากในการบริโภคอาหารที่ถูกต้องอาหารพิเศษได้นำมาใช้เพื่อรักษาโรคเฉพาะอย่าง ในขณะเดียวกันประชาชนบางกลุ่ม เช่น พวกกินเจก็จะไม่ยอมกินอะไรนอกจากอาหารประเภทหนึ่งเท่านั้น (อาหารจำพวกพืชและผลไม้ต่าง ๆ)

อย่างไรก็ตาม ในทุกสิ่งทุกอย่างก็เช่นกัน ความพอดิบพอดีและสามัญสำนึกย่อมเป็นข้อเท็จจริงเบื้องต้นของการบริโภคอาหารที่มีคุณประโยชน์แก่ชีวิต เพราะมีพวกกินเจอยู่มากเหมือนกันที่ต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการได้โปรตีนน้อยเกินไป และพวกที่กินเนื้อก็มีอยู่มากที่ขาดแคลนในสิ่งอื่น ๆ เมื่อเช่นนี้จะต้องพยายามรักษาความสมดุลให้ได้ในระหว่างความสุดโต่งทั้งสองข้าง อาการที่ถูกต้องนั้นก็ควรจะมีทั้งโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ให้เหมาะควรกันอันเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการรักษาสุขภาพให้ดี ในขณะเดียวกันการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก็เป็นสิ่งจำเป็นในการย่อยอาหาร เพื่อจะสกัดคุณค่าของอาหารให้ออกมาเป็นประโยชน์แก่ร่างกายให้มาก และเพื่อให้ระบบการทำงานดำเนินไปด้วยดี อนึ่งควรจะหลีกเลี่ยงจากการดื่มเครื่องดองของมึนเมาให้มากที่สุด เช่นเดียวกันการสูบบุหรี่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเพราะร่างกายไม่ต้องการมันเลย

อาหารต่าง ๆ ส่วนมากในเวลานี้ก็มักจะเป็นอาหารสำเร็จรูปและได้พยายามปรับปรุงให้ถูกปากและยั่วยุการหิวกระหายได้มาก เราจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเลือกอาหาร เรามักจะกินอาหารเพื่อความสนุก และเพื่อความอร่อย มากกว่าเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายและตามความจำเป็นต้องการทำให้เราต้องสูญเสียรสอาหารตามธรรมชาติปีหนึ่ง ๆ เราบริโภคอาหารจำพวกขนมกันเป็นจนวนมหาศาล ช็อคโกแล็ต ท๊อฟฟี่ และขนมปังไส้ครีม ขนมเค็ก ไอศกรีม อาหารดังกล่าวทั้งหมดมีคุณค่าอย่างแท้จิรงแก่ร่างกายน้อยมาก แต่เป็นขนมที่ล่อใจเราได้มาก แถมยังสามารถทำให้น้ำหนักตัวมากขึ้นโดยอัตโนมัติอีกด้วย

โยคะเตือนเราว่า เราไม่อาจหวังว่าจะได้รับแสงสว่างแม้แต่น้อยเว้นไว้แต่ว่าเราจะได้รักษาร่างกายและจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์และมีความเข้มแข็งสมบูรณ์ ท้องที่อิ่มเกินไป ระบบการไหลเวียนของโลหิตที่เต็มไปด้วยแอลกอฮอล์ ปอดที่หายใจไม่ออกเพราะควันบุหรี่ ทุกอย่างนี้จะเป็นเครื่องกีดขวางอันเราจะต้องเอาชนะให้ได้ถ้าเราปรารถนาจะให้ชีวิตเต็มไปด้วยสุขภาพและความสุข

บางคราวการอดอาหารสัก 24 ชั่วโมงก็มีประโยชน์มากหรือนาน ๆ อดอาหารเช้าสักครั้งหนึ่ง ในกรณีหลังนี้การดื่มน้ำเปล่าแทนอาหารเช้าก็อาจช่วยได้มาก เพราะเป็นการช่วยล้างระบบขับถ่าย การไม่รับประทานอาหารเป็นการทำให้ระบบขับถ่ายมีโอกาสทำความสะอาดตัวเองและได้พักผ่อนด้วย การอดอาหารอย่างเข้มงวดหรือไม่หยุดนั้น ในโยคะได้ห้ามไว้ เพราะทำให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายเกิดความเครียดโดยไม่จำเป็น และไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และยังเป็นผลทำให้จิตใจและร่างกายเสื่อมพลังวังชาไปด้วย

การงดยาเสพติดทุกชนิด ความจริงโยคะสอนไว้ว่าถ้าเรารู้จักวิธีใช้โภคทรัพย์ธรรมชาติของเรา ให้ได้ประโยชน์อย่างดีที่สุดแล้วนิสัยต่าง ๆ และเครื่องย้อมใจเหล่านี้ไม่ใช่สิงจำเป็น เพราะเราสามรถแสวงหาความสดชื่นร่าเริงได้อย่างมากจากการปฏิบัติโยคะอย่างธรรมดา ๆ แต่เป็นคุณประโยชน์แก่สุขภาพของเราอย่างวิเศษ แทนที่จะทำลายสุขภาพให้เสื่อมโทรมสงด้วยการเสพยาเสพติดชนิดต่าง ๆ

มีการเสนอรับรองกันอยู่เสมอว่าผลไม้บางชนิดคือ ผู้ให้กำเนิดพลังงาน และยังรักษาความสะอาดในระบบการเดินอาหาร และให้ความเย็นแก่ร่างกายอีกด้วยนอกจากนี้ยังช่วยในการเจริญสมาธิอีกด้วย

ในระหว่างนอนหลับเราใช้พลังงานน้อยมาก เพราะฉะนั้นจึงมีผู้แนะนำว่าอาหารเช้าควรจะเป็นอาหารเบาที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายมาก ๆ บางคนรับประทานรังนก น้ำเต้าหู้ น้ำข้าว ไข่ลวก นมสดที่เอาครีมออกแล้ว ลูกเดือย ฯลฯ อาหารเย็นก็ควรจะเป็นอาหารเบาเช่นกัน

การกินเป็นนิสัยอย่างหนึ่ง เราจึงต้องระวังสังเกตด้วยความเอาใจใส่ให้มากและคอยควบคุมให้เป็นไปตามความจำเป็น เมื่อเรายังเป็นเด็กหรือวัยรุ่น เราต้องการอาหารบำรุงเลี้ยงร่างกายมาก เพื่อช่วยเจริญเติบโต แต่เมื่อเรามีอายุล่วงเข้าวัยกลางคนแล้วร่างกายก็จะหยุดเจริญเติบโต นิสัยของเราจะชอบไปในทางนั่งเฉย ๆ และเราไม่ต้องการอาหารจำนวนเท่าเดิมแต่ถ้านิสัยการกินของเรายังไม่เปลี่ยนแปลงเราคงมีความหิวเพิ่มมากขึ้น เพื่อจะกินอาหารบางประเภท โดยไม่คำนึงถึงปริมาณของมันทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ให้ประโยชน์อะไรแก่เราอีกเท่าใดนักตอนนี้แหละเราจะรู้ตัวว่าน้ำหนักเรายิ่งมากขึ้น ๆ

ในวัยกลางคนเราควรจะกินอาหารให้น้อยกว่าเมื่อเรายังอยู่ในวัยเด็ก ถ้าเราไม่ควบคุมนิสัยการกินของเราให้เหมาะแก่ความจำเป็นต้องการที่แท้จริงของร่างกายแล้ว เมื่อนั้นน้ำหนักตัวเราจะมากเกินไปเต็มไปด้วยไขมันและพิษภัยแล้ววัยชราก็เริ่มลงมือบีบรัดเราหนักขึ้นถ้าเรารู้จักกินแต่พอสมควรและริหารกายตามแบบโยคะ เราก็จะสามารถรักษาพลังความหนุ่มแน่นตลอดจนสุขภาพผิวและผิวพรรณของเราไว้ได้อีกหลายปี

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดของการรับประทานอาหารให้เหมาะสมตามกรุ๊ปเลือดอีกด้วย

อาหารกับกรุ๊ปเลือด

เลือดกรุ๊ป A
อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป A คนที่มีเลือดกรุ๊ป A น้ำย่อยในกระเพาะอาหารจะมีความเป็นกรดต่ำ ทำให้ไม่เหมาะกับอาหารประเภทเนื้อ โดยเฉพาะเนื้อแดง อาหารประเภทพืชผักจะเหมาะกับคนกลุ่มนี้มากกว่า ดังจะเห็นได้ว่าชาวมังสวิรัติส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติแล้วรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงสดชื่นขึ้น มักจะเป็นคนที่มีเลือดกรุ๊ป A แต่ก็มีผักบางอย่างที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น พริก มะกอกดอง มันฝรั่ง มันเทศ กะหล่ำปลี มะเขือเทศ และควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมเนยทั้งหมด

เลือดกรุ๊ป B
อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป B คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวที่กินอาหารประเภทนม เนย และไข่ ได้ตามปกติ ยกเว้นเนยแข็งที่มีรสเข้ม เพราะจะทำให้ย่อยยาก ส่วนเรื่องของพืชผักนั้น แทบทุกอย่างให้ผลดีโดยเฉพาะผักใบเขียวทั้งหลาย ที่ไม่เหมาะเห็นจะเป็นข้าวโพด เพราะจะเป็นปัญหาต่อระบบการเผาพลาญและการสร้างอินซูลินของร่างกาย อาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกวาง แกะ หรือ กระต่าย เหมาะกับคนที่มีเลือดกรุ๊ป B แต่ที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือ เนื้อไก่

เลือดกรุ๊ป O
อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป O ลักษณะเด่นของคนที่มีเลือดกรุ๊ป O คือน้ำย่อยในระบบย่อยอาหารที่มีความเป็นกรดสูง ซึ่งเหมาะกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ทั้งหมด โดยเฉพาะเนื้อประเภทเนื้อแดง ผักและผลไม้ส่วนใหญ่ก็มีประโยชน์สำหรับคนเลือดกรุ๊ป O สำหรับสิ่งที่ควรเน้นเพิ่มเป็นพิเศษก็คือ ปลาและอาหารทะเล เพื่อเพิ่มแคลเซียมซึ่งไม่ได้รับจากนม และเพื่อเพิ่มไอโอดีน แต่อาหารประเภทที่ไม่ค่อยเหมาะและอาจส่งผลต่อร่างกายได้ ก็คือ อาหารประเภทข้าว ถั่ว และนม

เลือดกรุ๊ป AB
อาหารสำหรับคนเลือดกรุ๊ป AB อาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายของคนเลือดกรุ๊ป A และอาหารที่ส่งผลดีต่อร่างกายคนเลือดกรุ๊ป B ก็จะส่งผลดีต่อร่างกายคนเลือดกรุ๊ป AB ด้วย อาหารมังสวิรัติจะให้ผลดีต่อร่างกายของคนกลุ่มนี้ อาหารประเภทนมเนยและไข่ก็กินได้ตามปกติ แต่ต้องไม่มากเกินไป จุดอ่อนของคนเลือดกรุ๊ปนี้คือ ระบบย่อยอาหารมักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ดังนั้น ควรกินเนื้อสัตว์ในปริมาณที่น้อยและอย่าบ่อยนัก

ใช้แนวความรู้จากการศึกษาของ ดร. ปีเตอร์ เจ ดี แอดดาโม (Dr. Peter J.D. Adamo)

จากแนวคิดของการรับประทานอาหารทั้ง 2 อย่างที่ได้อ้างอิงถึงในข้างต้น มีอิทธิพลกับชีวิตของผมมากหลังจากที่ผมฝึกโยคะได้สักพักหนึ่ง มีอยู่ช่วงหนึ่งผมรู้สึกว่าสุขภาพไม่ค่อยดี ทั้งๆที่ออกกำลังกายและฝึกโยคะเป็นประจำแต่ก็ยังไม่สบายอยู่บ่อยครั้ง  จนวันหนึ่งภรรยาของผมก็ได้ถามผมขึ้นมาว่า ทำไมถึงไม่สบายบ่อยจัง รู้ถึงไหนอายถึงนั่น เป็นถึงครูสอนโยคะ ควรจะลองปรับการรับประทานอาหารดู ไหนกรุ๊ปเลือดอะไร? กรุ๊ปเลือดเอ ใช่ไหม? นี่งัย ในข้อมูลที่เธอได้มาบอกว่าคนกรุ๊ปเลือดเอ ควรจะทานแบบมังสวิรัติ  ผมก็เลยถามภรรยาผมกลับไปว่า ข้อมูลที่ได้มาจะเชื่อถือได้แค่ไหนกัน?  ภรรยาผมสวนหมัดเด็ดกลับมาทันทีว่าลองดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรน๊ะ(เนื่องจากมีแนวคิดของโยคะเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยผมก็เลย คิดในใจว่า ลองก็ลอง) จากนั้นผมก็เลยค่อยๆปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเริ่มเลิกรับประทานเนื้อวัวก่อนเป็นอันดับแรก และเมื่อประสบความสำเร็จก็ค่อยๆเริ่มเลิกรับประทานเนื้อหมู และเมื่อประสบความสำเร็จผมก็ค่อยๆเลิกรับประทานเนื้อไก่ ปัจจุบันผมก็ทานแต่พืชผักผลไม้, เนื้อปลาและอาหารทะเล ตามสมควร

หลังจากรับประทานอาหารแบบที่ไม่มีเนื้อสัตว์ใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้ก็ประมาณเกือบ 2ปี สิ่งที่ผมสังเกตได้ก็คือผมไม่รู้จักกับการป่วยไข้ มามากกว่าหนึ่งปีแล้ว ทั้งๆที่อย่างน้อยที่สุด ช่วงที่เราเรียกกันว่าปลายฝนต้นหนาวนี่ล่ะครับ จะเป็นช่วงที่ผมมีสุขภาพค่อนข้างเปาะบางมากๆ และมักจะมีอาการไม่สบายในช่วงนั้นของทุกๆปี อย่างน้อยปีละ 1ครั้ง แต่ปีที่ผ่านมาผมผ่านมันมาได้แบบไม่คาดคิด ก็เลยคิดว่าจะยังคง รับประทานอาหารแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

แล้วทุกท่านที่เข้ามาอ่านบล็อกของผมล่ะครับ ท่านมีพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เป็นอย่างไรบ้างครับ ยังงัยก็อย่าลืม แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการรับประทานอาหารของคุณมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ข้อมูล อาหารกับการฝึกโยคะ จาก หนังสือ เรียนรู้ก่อนฝึกโยคะ
ข้อมูล อาหารกับกรุ๊ปเลือด จาก ศูนย์โลหิต สภากาชาดไทย

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger