เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

โยคะเวิร์คชอฟ ที่สุราษฎร์ฯ โดยครูจิมมี่


โยคะเวิร์คชอฟ ที่สุราษฎร์ฯ โดยครูจิมมี่

ข่าวดี ! สำหรับสาวกโยคะชาวสุราษฎร์ธานี
และจังหวัดใกล้เคียงทุกๆท่าน 

เตรียมตัวร่วมประสบการณ์...

สุราษฎร์ธานี...หฐะวินยาสะโยคะเวิร์คชอฟ 
กับครูจิมมี่

เสาร์ที่12 และ อาทิตย์ที่13 กุมภาพันธ์ 2554
ณ โรงแรมปริ๊นเซส ปาร์ค จังหวัดสุราษฎร์ธานี

เสาร์ที่ 12 กุมภาฯ,  เวลา 16.00-18.00 น.
หลักและวิธีการฝึกโยคะอาสนะด้วยท่ายืน
(Standing Method for Yoga Asana)

อาทิตย์ที่ 13 กุมภาฯ,  เวลา 16.00-18.00 น.
โยคะอาสนะเพื่อช่วยในการบริหารข้อต่อสะโพก
(Hip Openner Series for Yoga Asana)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :

นมัสเต โยคะสตูดิโอ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ครูเปิ้ล โทร.083-636-0886

ครูยุ้ย  โทร.089-699-1604


หวังว่าเราคงจะได้พบกัน ในโยคะเวิร์คชอฟ ของผมที่สุราษฎร์ธานี นะครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

สนับสนุนการจัดกิจกรรมเวิร์คชอฟครั้งนี้โดย เสื่อโยคะแมนดูกะ โดย โยคะโอม

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

อาชีพครูสอนโยคะในทัศนะของแพทย์บางท่าน...


อาชีพครูสอนโยคะในทัศนะของแพทย์บางท่าน...

การที่ผมได้เลือกนำเสนอหัวข้อเรื่องนี้ มันก็มีเหตุล่ะครับ ปกติก็เคยแต่ได้ยินสมาชิกที่มาฝึกโยคะกับผมบางท่านเขามาพูดให้ฟังบ้าง ฟังจากคนบางกลุ่มที่เขาไม่ได้ฝึกโยคะบ้าง เขาเล่าลือต่อๆกันมาอย่างหนาหูว่า การฝึกโยคะน่ะเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ หลายคนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บต่างๆมากมายจากการฝึกโยคะ หลายๆคนกล่าวอ้างถึงสถานพยาบาลบางแห่งหรือแพทย์บางท่านที่ให้การยืนยันว่าการฝึกโยคะทำให้ผู้ฝึกหลายๆท่านได้รับบาดเจ็บจากการฝึก ซึ่งจากคำกล่าวอ้างได้บอกเล่าให้ได้ทราบข้อมูลว่า จะมีผู้ป่วยที่บาดเจ็บจากการฝึกโยคะเข้ามารักษาพยาบาลเกือบทุกวันเลยก็ว่าได้ จนทำให้แพทย์บางคนในปัจจุบันนี้ถึงขั้นมองโยคะในแง่ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักและแพทย์บางท่านก็ถึงขั้นกับต่อต้านการฝึกโยคะไปเลยก็มี(อันนี้เป็นสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาครับ แต่ยังไม่เคยได้เจอกับตัวเองแบบจังๆ)

วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ช่วงที่อากาศค่อนข้างเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว จึงทำให้ร่างกายของเราบางครั้งก็ปรับตัวไม่ค่อยจะทัน จึงทำให้เราไม่สบายเอาง่ายๆ ซึ่งโดยอาชีพการสอนโยคะของผมแล้วการใช้เสียงมีความสำคัญอย่างมากต่ออาชีพ ดังนั้นในช่วงที่มีอาการเจ็บคอผมก็พยายามทำทุกวิถีทางล่ะครับ เพื่อให้หายเจ็บคอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็นไปได้ เพราะถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆเราก็ไม่อยากจะหยุดสอนหรอกครับ(เพราะว่าการหยุดสอนก็เท่ากับว่าเราต้องขาดรายได้ไปด้วยนั่นเอง)...จึงเป็นเหตุให้ผมมีความจำเป็นที่จะต้องไปพบแพทย์ ก็บอกอาการคุณหมอเขาไปตามอาการ ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยครับ การสนทนาระหว่างคุณหมอกับผมก็ทำท่าจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี (คุยกันคล้ายๆจะถูกคอ...ว่างั้นเหอะ)

แต่มีบทสนทนาหนึ่งที่ผมพูดออกไปก็คือ " ผมจำเป็นต้องใช้เสียงในการสอนดังนั้น หากคุณหมอจะกรุณา ช่วยทำยังไงก็ได้แต่อยากให้เสียงกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด" คุณหมอจึงถามผมกลับมาว่า ขอโทษนะครับ คุณเป็นครูสอนอะไรเหรอครับ?" ผมก็ลังเลใจเล็กน้อยก่อนที่จะตอบไปว่า " ผมเป็นครูสอนโยคะครับ " (ตอบด้วยความภาคภูมิใจ...นิดหนึ่ง) คุณหมออึ้งไปแป๊บหนึ่ง ซึ่งเมื่อมองดูแล้วเหมือนคุณหมอคล้ายๆจะมีอะไรที่เก็บซ่อนไว้อยู่ในใจ และเพียงไม่กี่วินาทีในความเงียบนั้นเอง คุณหมอก็เปิดเผยความในใจหลังจากที่ได้ทราบถึงอาชีพของผม คุณหมอบอกกับผมว่าคุณหมอมีเพื่อนไม่ต่ำกว่าสี่คนที่รู้จักกันได้รับบาดเจ็บจากการฝึกโยคะ บางคนก็บาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อย แต่บางคนมีอาการรุนแรงถึงขั้นกระดูกต้นคอเคลื่อนและไม่สามารถฝึกโยคะอีกต่อไปได้ เพื่อนๆร่วมวิชาชีพของคุณหมอหลายต่อหลายท่านด้วยกันที่รักษาอาการเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก ต่างก็พูดถึงผู้ที่บาดเจ็บจากการฝึกโยคะให้คุณหมอฟังเป็นประจำ จนคุณหมอชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้ว่าการฝึกโยคะมันมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน

พอมาถึงตรงนี้บทสนทนาระหว่างคุณหมอกับผมก็ค่อยๆเข้มข้นขึ้นมาทันทีล่ะครับ... หากเป็นภาพยนตร์ก็พูดได้เลยว่า ตอนต้นของเรื่องมันคล้ายๆจะเป็นคอมเมอร์ดี้ และแล้วก็พลิกผลันไปเป็นดราม่าซะอย่างงั้น... แต่ผมก็หวังลึกๆว่า...มันคงจะไม่เลยเถิดไปจบลงที่บทบู๊ล้างผลาญ, ทิลเล่อร์หรือสยองขวัญ, เขย่าขวัญ... แต่ถ้าจะใช้คำว่าบทสนทนา มันก็อาจจะไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว หลังจากที่คุณหมอทราบว่าผมเป็นครูสอนโยคะแล้วเท่านั้นหล่ะ ผมก็เป็นฝ่ายฟังคุณหมอยาวเลยล่ะครับ ก่อนที่ผมจะได้มีโอกาสพูด จำได้เลยว่า คุณหมอเขาบอกว่า "หมอขอถามนิดหนึ่งนะครับครู"

1.ครูสอนโยคะส่วนใหญ่เขาไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน?
2.และต้องใช้ระยะเวลาเรียนกันนานเท่าไหร่?
3.หลักสูตรการเรียนเป็นครูสอนโยคะเป็นอย่างไร?
4.มีกระทรวง/ทบวง/กรม ใด...ทำหน้าที่รับรองหลักสูตรหรือรับรองครูผู้สอนบ้างไหม?
5.ทำไม๊? ทำไม? ถึงมีแต่คนบาดเจ็บจากการฝึกโยคะทุกวี่ทุกวัน...
(อันนี้ผมนำมาจัดแบ่งเป็นข้อเองล่ะ ซึ่งในความจริงมันมาติดกันเป็นชุดยาวเชียว)

ดีนะเนี่ย ที่คุณหมอเขาถามนิดเดียว...ถ้าถามเย๊อะ สงสัยผมเสียชีวิตแน่ๆ...แต่ละคำถามจี๊ดๆทั้งนั้นเลยล่ะครับ แต่ผมก็คิดในใจว่า...ถูกต้องแล้วที่วันนี้คุณหมอได้มาเจอกับครูสอนโยคะอย่างผม เพราะถือได้เลยว่าเป็นคู่สนทนาที่ถูกคู่ถูกคนเลยทีเดียว และคิดว่าคุณหมอน่าจะได้คำตอบเกี่ยวกับการฝึกและการสอนโยคะที่ชัดเจนอย่างมากในวันนี้หลังจากที่ได้สนทนากับผมแล้ว...ผมก็ต้องทำการแนะนำถึงประวัติและข้อมูลเกี่ยวกับโยคะของผมให้คุณหมอทราบพอควร เมื่อคุณหมอได้ทราบข้อมูลของตัวผมแล้ว หน้าตาคุณหมอสีหน้าแววตาดูดีขึ้นมาเล็กน้อยจากเดิม คล้ายๆจะบ่งบอกเป็นนัยๆว่าคุณหมอได้มาเจอครูโยคะถูกคนแล้ววันนี้...ว่าแล้วจากคำถามดังกล่าวที่คุณหมอได้ซักถามมา ผมก็ค่อยๆไขข้อสงสัยของคุณหมอทีละข้อ ทีละข้อ...

สำหรับข้อแรก บอกได้ยากมากเพราะคำถามค่อนข้างกว้างครับ ครูโยคะในบ้านเราปัจจุบันนี้มีเย๊อะแย๊ะมากมาย
1.หลายๆท่านดั้นด้นไปเรียนมาจากอินเดีย ประเทศที่ถือว่าเป็นต้นตำหรับและจุดกำเนิดของศาสตร์แห่งโยคะ ซึ่งมีศูนย์ฝึกโยคะหลายๆสถาบันเป็นที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก(ซึ่งก็ต้องเลือกดูสถาบันที่จะไปเรียนให้ดีๆเช่นกัน ไม่ใช่สักแต่เพียงไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าไปเรียนมาจากอินเดีย)
2.หลายๆท่านก็อาจจะเรียนจากสถาบันที่ได้รับการรับรองจากองค์กรโยคะต่างๆ ที่มีอยู่อย่างแพร่หลายทั่วทุกมุมโลก(พูดง่ายๆมีเกือบทุกประเทศเลยล่ะครับ ต่างกันก็ตรงที่องค์กรใดรับรองสถาบันเท่านั้นเอง) อันนี้ก็ต้องเลือกดูให้ดีๆอีกเช่นกัน เพราะบางที่บางแห่งก็เปิดเอง สอนเอง กำหนดหลักสูตรขึ้นเอง โดยไม่มีองค์กรโยคะใดมารับรองหลักสูตร
3.หลายๆท่าน อาศัยการเรียนรู้จดจำและฝึกฝนสืบต่อกันมาจนเกิดเป็นความชำนาญส่วนตัวและก็นำทักษะดังกล่าว มาสอนต่อให้ผู้อื่น(ซึ่งในกรณีนี้ก็คงไม่มี การรับรองอะไรทั้งสิ้นล่ะครับ) อันนี้ต้องระวังให้ดี ซึ่งจริงๆแล้วควรจะต้องไปเรียนให้เป็นไปตามขั้นตอนตามหลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากองค์กรโยคะนานาชาติ

ข้อที่สอง หลักสูตรโดยมาตรฐานสากลที่องค์กรโยคะระดับนานาชาติส่วนใหญ่ยอมรับกัน ขั้นต่ำต้องเรียน 200ชั่วโมง ล่ะครับ ซึ่งใน 200ชั่วโมงนั้น ก็จะต้องถูกควบคุมให้ได้มาตรฐานด้วยการถูกกำหนดหลักสูตรและหัวข้อของการสอนตามที่องค์กรโยคะนานาชาติเขากำหนด และตัวผู้ที่จะสอนหลักสูตรนี้ได้ก็จะต้องได้รับการรับรองจากองค์กรโยคะนานาชาติเสียก่อนด้วย

ข้อที่สาม เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่ค่อนข้างเฉพาะทาง ดังนั้นโดยทั่วๆไปแล้ว หัวข้อที่จะเรียนก็คือ 1.ปรัชญาโยคะ ประวัติ, ความเป็นมา, หัวใจสำคัญของโยคะ, กิริยาโยคะ, เทคนิคต่างๆของโยคะและปราณยามะ(ลมหายใจ)  2.เทคนิคและวิธีการสอนโยคะ  3. กายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยาสำหรับการฝึกโยคะ และก็ยังมีหัวข้ออื่นๆอีก

ข้อที่สี่ ในปัจจุบันประเทศไทย ยังไม่มี กระทรวง ทบวง กรม ใด ออกมากำหนดกฏเกณฑ์หรือควบคุมสถาบันเกี่ยวกับโยคะและครูสอนโยคะ นี่แหล่ะครับที่ผมคิดว่าเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้มาตรฐานของครูและสถาบันสอนโยคะต่างๆ ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งตรงนี้ก็ยังไม่ทราบได้ว่าเมื่อไหร่จึงจะมีองค์กรที่ควบคุมมาตรฐานครูและสถาบันสอนโยคะในเมืองไทย(อาจจะต้องมีผู้ฝึกโยคะบาดเจ็บมากกว่านี้หรือเสียชีวิตจากการฝึกเสียก่อนก็เป็นได้) แต่ครูสอนโยคะหลายๆท่านในเมืองไทยของเราเมื่อได้เรียนจบหลักสูตรของการเป็นครูสอนโยคะแล้ว ก็ได้ทำการขึ้นทะเบียนการเป็นครูสอนโยคะอย่างถูกต้องกับองค์กรโยคะนานาชาติ เพื่อเป็นแหล่งอ้างอิงและรับรองในการประกอบอาชีพครูสอนโยคะ เนื่องจากในเมืองไทยยังไม่มีการจัดตั้งองค์กรเกี่ยวกับโยคะ

ข้อสุดท้าย  อันนี้พูดยากครับ เนื่องจากครูสอนโยคะในบ้านเราทุกวันนี้ พูดตามตรงเลยครับไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไปร่ำเรียนมาจากไหนกับบ้างก็ไม่รู้ อันนี้ตามที่ผมได้บอกไปตามข้อแรกล่ะครับ ซึ่งที่น่ากลัวที่สุดน่าจะเป็นอันที่3.ล่ะครับ เรียนแบบไม่มีแบบแผน ไม่มีการรับรอง แต่อันนี้ถ้าจะพูดกันจริงๆมันก็พูดยากครับ เพราะการออกกำลังกายทุกประเภทรวมจนถึงการฝึกโยคะมันเป็นอะไรที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บจากการฝึกด้วยกันทั้งนั้นล่ะครับ แต่เนื่องจากว่าในปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจในการฝึกโยคะอย่างมากมาย ดังนั้นเมื่อมีจำนวนคนฝึกเย๊อะโอกาสที่จะมีผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นตามมาด้วยก็เป็นไปได้สูงเช่นกันล่ะครับ

คุณหมอก็เลยคุยกับผมว่า...แล้วมันพอจะมีแนวทางอะไรบ้างในการช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ลดลงหรือหมดไป?
ไอ้ลดลงเป็นไปได้ครับ...แต่หมดลงไปเลยคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ...องค์ประกอบสำคัญๆที่จะช่วยให้ปัญหาดังกล่าวลดน้อยลงก็คือ
1.ภาครัฐฯ   2.สถานประกอบการต่างๆ   3.ครูสอนโยคะ   4.ผู้บริโภค(ผู้ฝึกโยคะ)

ภาครัฐฯ อาจจะต้องออกมามีบทบาท ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคอยควบคุมดูแล และกำหนดกฏเกณฑ์ ขึ้นมาให้มันเป็นมาตรฐานเดียวกันเพื่อความสบายใจของทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับโยคะในบ้านเรา

สถานประกอบการ ควรเลือกพิจารณาครูผู้สอนโยคะที่ได้ผ่านการเรียนมาตามขั้นตอนที่ได้มาตรฐาน เข้ามาสอนในสถานประกอบการของตน (ซึ่งสถานประกอบการบางแห่ง เน้นการจ่ายค่าสอนแบบราคาประหยัดจึงไม่สนใจที่จะต้องเลือกครูที่มีมาตรฐาน ขอให้เพียงแค่สอนได้และพอใจกับค่าตอบแทนที่สถานประกอบการจ่ายให้ก็เป็นพอ ตรงนี้จึงควรจะต้องมีการควบคุมจากภาครัฐฯเข้ามาช่วย) ซึ่งในส่วนนี้หากสถานประกอบการทุกแห่งต่างมีจรรยาบรรณก็ควรจะให้ความสำคัญกับผู้บริโภคควบคู่ไปกับผลประกอบการด้วย จึงควรคัดเลือกครูสอนโยคะที่มีมาตรฐานเข้ามาทำงานในสถานประกอบการของตน

ครูสอนโยคะ พึงระลึกเสมอว่าอาชีพที่ทำอยู่นี้ มีโอกาสทำให้ผู้อื่นเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนั้นการจะมาทำอาชีพนี้ได้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผ่านการเรียนรู้และผ่านการฝึกฝนอย่างถูกต้องเป็นขั้นเป็นตอน จากสถาบันที่ได้รับการรับรองตามมตรฐานสากล ต้องรู้และเข้าใจการป้องกันการบาดเจ็บจากการฝึกโยคะเป็นอย่างดี มีจรรยาบรรณในวิชาชีพครูสอนโยคะ ควรมีการซักถามข้อมูลสุขภาพขั้นพื้นฐานของผู้เข้าคลาสเรียนกับเราก่อนที่จะทำการสอนทุกครั้ง เพื่อที่ผู้สอนจะได้รู้ว่ามีใครบ้างในคลาสของเราที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพและอาจจะต้องหลีกเลี่ยงการฝึกท่าบางท่า หากจำเป็นที่จะต้องสอนท่าโยคะที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะบาดเจ็บก็อาจจะมีทางเลือกหลายๆทางให้ผู้ฝึกได้เลือกตัดสินใจตามความเหมาะสม ไม่ควรให้ผู้ฝึก ฝึกอย่างหักโหมเกินขีดความสามารถ และควรเน้นเรื่องของความปลอดภัยในการฝึกเป็นสำคัญ

ผู้บริโภค(ผู้ฝึกโยคะ) ควรเลือกและตัดสินใจให้ดีว่าสถานประกอบการที่เราเลือกเข้าไปใช้บริการและครูที่เราจะไปเรียนด้วยนั้นได้มาตรฐานผ่านการรับรองตามมาตรฐานสากล ดังนั้นจึงควรสืบหาข้อมูลให้ดีๆก่อนที่จะตัดสินใจ ที่สำคัญที่สุดคือควรจะรู้จักกะประมาณศักยภาพและขีดความสามารถของตัวเราเองเป็นสำคัญ หากมีอาการบาดเจ็บหรือปัญหาสุขภาพใดๆก็ควรแจ้งให้ครูผู้สอนโยคะในคลาสนั้นๆทราบก่อนการสอนทุกครั้ง และอย่าหักโหมฝึกจนเกินขีดความสามารถของตนเองเพราะมันจะเป็นการนำท่านไปสู่การบาดเจ็บได้ในที่สุด

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงแนวคิด ที่ผมเชื่อว่าหากเราทำตามแนวทางดังกล่าวก็คงจะช่วยลดปริมาณของผู้ฝึกโยคะที่บาดเจ็บจากการฝึกให้ลดน้อยลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

และแน่นอนที่สุด คงไม่มีใครหรอกครับ ที่อยากจะให้ผู้อื่นมองอาชีพที่เราทำอยู่ในแง่ลบ งานทุกสาขาอาชีพล้วนแล้วแต่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ตามความเป็นจริงแล้วมันก็คงจะอดไม่ได้หรอกครับที่อาจจะต้องมีบ้างกับการผิดพลาดบางประการในอาชีพที่เราคิดว่าเราชำนาญดีแล้ว จนเป็นเหตุให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการในอาชีพของเราต้องเกิดปัญหาและได้รับผลกระทบบางอย่างขึ้นบ้าง  ขอพูดนิดหนึ่งเช่นกันครับ ซึ่งจะว่าไปแล้วอาชีพหมอนี่ เราก็เห็นเป็นข่าวไม่น้อยเช่นกัน หลายต่อหลายครั้งที่มีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับแพทย์,โรงพยาบาล และสถานพยาบาลต่างๆ เนื่องจากการวินิจฉัยโรคผิดพลาด และอื่นๆ(จากตรงนี้ ผมจากที่ดูจะเพรี่ยงพร้ำเสียบเปรียบอยู่นาน ก็เลยพลิกกับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบซะงั้น และเล่นเอาคุณหมอถึงกับอึ้ง...งงไปเหมือนกัน)

และหากมีคนมาถามผมว่า ผมเคยทำให้ใครได้รับบาดเจ็บจากการสอนโยคะของผมบ้างไหม? ก็คงต้องตอบแบบตรงไปตรงมาเลยว่า...เคยแน่นอนครับ และผมก็คงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ฝึกกับเราและได้รับบาดเจ็บจากการสอนของเรามักไม่กลับมาบอกเราตรงๆ แต่จะหายจากคลาสของเราไป และอาจจะไปพูดให้คนอื่นๆฟังว่าบาดเจ็บจากการเรียนกับเรา(นี่แหล่ะครับ เป็นพฤติกรรมของผู้ฝึกโยคะชาวไทย ที่ผู้เป็นครูสอนโยคะควรจะต้องทราบเอาไว้) และในที่สุดคำพูดที่ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆก็จะกลับมาหาตัวเราในที่สุด และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันกลับมาหาเรา เราจะรู้สึกไม่สบายใจ คล้ายๆละอายกับสิ่งที่ได้ทำลงไปโดยไม่ตั้งใจ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ค่อยเข้าไปช่วยจัดท่าให้ใครโดยไม่จำเป็น เพราะบางครั้งมันอาจจะเป็นผลเสียมากกว่าที่เราคิดไว้ (การจะเข้าไปช่วยจัดท่าให้ผู้ฝึกผมจะต้องมั่นใจมากๆว่ามันจะไม่สร้างผลกระทบในภายหลัง ผมจึงจะเข้าไปช่วยจัด)

ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว หากผู้ฝึกบาดเจ็บจากการฝืนร่างกายตนเองก็คงเป็นเรื่องปกติซึ่งเมื่อเกิดการบาดเจ็บจากกรณีดังกล่าวแล้วก็อาจจะแค่กลับไปพักฟื้นเลียแผลตนเองและตำหนิตนเองในใจ(ประมาณว่าสิ่งแวดล้อมพาไปจิตใจจึงสั่งให้ร่างกายทำตามแบบไม่รู้ตัว พอมารู้สึกตัวอีกที...ก็บาดเจ็บไปซะแล้ว) การบาดเจ็บที่จะทำให้ผู้ฝึกโยคะรู้สึกเลวร้ายที่สุดก็คือ การได้รับบาดเจ็บจากการที่ครูผู้สอนเข้าไปช่วยจัด ช่วยจับ ช่วยดัด จนเกินขีดความสามารถของผู้ฝึกและนำไปสู่การบาดเจ็บในที่สุด

สิบนิ้วย่อมรู้พลาดนักปราชญ์ย่อมรู้พั้ง หากการเข้าไปช่วยจัดท่าฝึกโยคะของผม อาจจะไปทำให้ผู้ฝึกโยคะบางท่านได้รับบาดเจ็บ โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผม ซึ่งต้องเรียนให้ทราบตามตรงว่าผมไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ๆ และไม่อยากทำให้ใครได้รับบาดเจ็บจากการสอนโยคะของผม  หากการสอนโยคะของผมได้เป็นส่วนหนึ่งในการไปทำร้ายร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกโยคะบางท่านที่เคยเข้าร่วมคลาสเรียนโยคะของผม  ผมต้องขอถือโอกาสนี้...กราบประทานอภัยทุกๆท่านที่อาจล่วงเกินท่านไปโดยที่ไม่ได้เจตนา...

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกโยคะจะมีจำนวนลดน้อยลงในเร็ววัน...

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไป...

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ขออุทิศบทความนี้ แด่ ครูสอนโยคะและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการฝึกโยคะทุกๆท่าน...

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

เรียนโยคะหลังเลิกงานกับครูจิมมี่ ได้ทุกวันจันทร์ ที่ ฟิตสตูดิโอ


เรียนโยคะหลังเลิกงานกับครูจิมมี่ ได้ทุกวันจันทร์ ที่ ฟิตสตูดิโอ...

เนื่องจากปัจจุบันนี้ ผมได้ลงตารางสอนคลาสหฐะวินยาสะโยคะ สอนประจำทุกๆวันจันทร์ เวลา18.00-19.00น. ที่ ฟิต สตูดิโอ จึงอยากเรียนเชิญทุกๆท่านที่สนใจการฝึกโยคะเพื่อสุขภาพมาเข้าร่วมคลาส ซึ่งคลาสนี้จะเหมาะกับผู้ฝึกขั้นพื้นฐานไปจนถึงขั้นปานกลาง เน้นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ผ่อนคลายความตึงเครียด บรรยากาศสนุกสนาน



โดยทาง ฟิต สตูดิโอของเรา ได้จัดเตรียมเสื่อโยคะแมนดูกะไว้เพื่อรองรับทุกๆท่านที่มาฝึกโยคะทุกคลาสที่ ฟิต สตูดิโอ ของเรา ซึ่งเรามีคลาสโยคะหลังเลิกงานทุกวันจันทร์-ศุกร์ และมีครูสอนโยคะระดับคุณภาพที่ผ่านการอบรมตามมาตรฐานสากล ได้รับการรับรองจากองค์กรโยคะนานาชาติ IYF. และ Yoga Alliance

ครูกอล์ฟ สอนไดนามิคโยคะ ทุกวันอังคาร 19.15 - 20.15 น.


ครูนิด สอนโยคะเพื่อการผ่อนคลาย ทุกวันพุธ 19.00 - 20.00 น.


ครูหน่อย สอนหฐะโยคะโฟล์ ทุกวันพฤหัสฯ 18.00 - 19.00 น.


ครูเปรม สอนโยคะพื้นฐาน ทุกวันศุกร์ 18.00 - 19.00 น.


ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมคลาส เริ่มต้นแค่เพียง คลาสละ 200 บาทเท่านั้น

ฟิต สตูดิโอ ตั้งอยู่ที่ มหาทุนพลาซ่า สถานีรถไฟฟ้า BTS เพลินจิต

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02 650 8282 หรือ 02 650 9242

พบกันในคลาสโยคะของพวกเรา ที่ ฟิต สตูดิโอ...นมัสเต...

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger