เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Thailand Yoga Festival 2011และช่วงเวลาดีๆในชีวิตของครูจิมมี่





Thailand Yoga Festival 2011และช่วงเวลาดีๆในชีวิตของครูจิมมี่


อย่างที่ได้ทราบกันเป็นอย่างดีครับ สำหรับสาวกโยคะทุกๆท่าน ว่างานไทยแลนด์โยคะเฟสติวัล มหกรรมโยคะที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย มักจะจัดขึ้นในช่วงใกล้ๆปลายปีของทุกๆปี โดยปกติแล้วในปีนี้งานจะต้องถูกจัดขึ้นสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม แต่เนื่องจากมหาวิกฤตภัยน้ำท่วม จึงทำให้งานโยคะมีอันต้องเลื่อนมาจัดเป็น เสาร์ที่๑๗ และอาทิตย์ที่๑๘ธันวาคม ๒๕๕๔ และเปลี่ยนสถานที่ในการจัดงาน จากที่ตั้งใจจะจัดที่ปิยรมณ์สปอร์ตคลับ ก็มีอันต้องกลับมาจัดที่โรงเรียนนานาชาติบางกอกเปร็ป อีกครั้ง(ที่เดิม ที่จัดงานทั้งสองปีที่ผ่านมา)


และจากการเลื่อนงานออกไปนี้ จึงมีผลทำให้ครูสอนโยคะชาวต่างชาติหลายต่อหลายท่านไม่สามารถจะมาสอนได้ เนื่องจากมีคิวงานสอนในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ จึงทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนคลาสและตัวครูผู้สอนพอสมควรเลยทีเดียวสำหรับฝ่ายจัดงาน


ไทยแลนด์โยคะเฟสติวัลปีนี้ ผมได้รับเกียรติครั้งสำคัญในชีวิตเลยล่ะครับ โดยการได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในวิทยากร ครูสอนโยคะ ที่ขึ้นสอนโยคะ ในงานโยคะที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย...ทางฝ่ายจัดงานคือนิตยสารโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ จัดให้ผมสอนในวันเสาร์ที่๑๗ธันวาฯ เวลา๙.๔๕-๑๑.๔๕น. ซึ่งเป็นคลาสที่สองของวันแรกในงานนี้ โดยทางฝ่ายจัดเสนอให้ผมสอนในหัวข้อที่ไม่เคยสอนที่ไหนมาก่อน เพื่อจะได้สร้างความสนใจให้กับผู้ที่เคยฝึกและเคยเรียนโยคะกับผม ผมจึงเลือกที่จะสอนในหัวข้อ "โยคะอาสนะเพื่อการบริหารข้อต่อสะโพก" โดยแนวคิดของผมก็คือ ต้องการให้ผู้ฝึกเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการฝึกท่าโยคะอาสนะเพื่อการบริหารข้อต่อสะโพก ซึ่งก็คือ การพัฒนาร่างกายของเราโดยเฉพาะบริเวณข้อต่อสะโพก ให้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นที่ดีขึ้นเพื่อจะได้ทำให้เรา สามารถนั่งสมาธิในท่าปัทมาอาสนะ ได้อย่างต่อเนื่องยาวนานขึ้น เพื่อเป็นการเกื้อหนุน และนำเราไปสู่เป้าหมายสูงสุดของการฝึกโยคะ คือ ฌาณหรือสมาธินั่นเอง


แรกๆผมก็หวั่นใจนิดๆ เนื่องจากมหาวิกฤตภัยน้ำท่วม เกรงว่าคนในคลาสของผมจะน้อยจนเงียบเหงา ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีคลาสหยินโยคะของครูเซบัสเตียนด้วย เนื่องจากข้อจำกัดของสถานที่ในการจัดงานทั้งสองห้องที่ใช้ในการสอนจึงมีขนาดไม่เท่ากัน ห้องหนึ่งเป็นยิมเนเซี่ยมขนาดใหญ่เลยล่ะครับ(สนามบาสเก็ตบอลในร่ม น่ะครับ...ใหญ่มากๆ) ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นคล้ายๆห้องเรียนที่มีพื้นที่กว้างพอสมควร และพื้นห้องถูกออกแบบให้ใช้งานได้แบบเอนกประสงค์แต่ก็มีขนาดเล็กกว่าห้องยิมเนเซี่ยมแน่นอนครับ...ทางฝ่ายจัดงานจัดแบ่งการใช้ห้องดังกล่าว โดยการดูจากจำนวนผู้ลงทะเบียนเข้าคลาส หากว่าสอนในเวลาเดียวกัน ครูคนไหนมีจำนวนผู้เลือกเข้าคลาสเย๊อะกว่าก็จะถูกจัดให้ไปสอนในห้องขนาดใหญ่กว่า ซึ่งแน่นอนครับผมได้ไปสอนที่ห้องใหญ่ ใจหนึ่งก็รู้สึกแอบดีใจว่ามีคนเลือกเรียนกับเราเย๊อะกว่าอีกคลาสหนึ่ง แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าไอ้ที่เย๊อะกว่าอีกคลาสหนึ่งน่ะ อาจจะเย๊อะกว่าแค่สามคนหรือห้าคนก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆล่ะก็ คงจะนั่งกันเหงาเลยล่ะครับ







พอมาถึงเวลาที่จะต้องสอนจริงๆ เมื่อคนค่อยๆเริ่มทยอยกันเข้ามาในห้องยิมเนเซี่ยมขนาดใหญ่ ก็เล่นเอาผมตื่นเต้น ขาสั่น เสียงสั่นเล็กน้อยเลยเหมือนกันครับ เพราะคนมาเย๊อะกว่าที่ผมคิดไว้ ผมแอบนับคร่าวๆได้ที่ประมาณ ๗๐คน เลยล่ะครับ ที่มาเข้าเรียนในคลาสของผม ปัญหาอีกประการหนึ่งที่ตามมาในการสอนของผมก็คือ ผมไม่เคยสอนคลาส ๒ชั่วโมงน่ะครับ ผมมักจะเคยชินกับการสอนคลาสในแบบ ๑ชั่วโมง, ๑ชั่วโมงครึ่ง หรือเป็นเวิร์คชอฟแบบ ๓ชั่วโมงไปเลย สิ่งทีผมอยากนำเสนอมีเย๊อะมาก แต่เนื่องจากเวลามันมีจำกัดแค่ ๒ชั่วโมงเท่านั้น จึงเล่นเอาผมเกือบจบไม่ลงเหมือนกันล่ะครับ สอนเกินเวลาไป ๑๕นาที แต่ทุกอย่างในการสอนของผม ก็สามารถผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น เรียบร้อยครับ






                                      (ครูจิมมี่ และครูที.เจ.เพ็ง)




                            (ครูจิมมี และคุณป๊อป, อารียา)




                               (ครูจิมมี่ และครูอุ้ม, สุชาวดี)




                                 (ครูจิมมี่ และครูอิโด้)

ภายในงานไทยแลนด์โยคะเฟสติวัลนี้ เนื่องจากทางสถาบันฟิตของเราก็ได้มาออกบู๊ทด้วยเป็นประจำทุกปี ผมจึงได้อาศัยนำหนังสือของ"เรื่องเล่า...จากครูโยคะ"ผม และเสื้อยืดโยคะการกุศล นำเงินรายได้ไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม มาวางจำหน่ายที่บู๊ทของสถาบันฟิต พร้อมทั้งแจกลายเซ็นต์ให้ผู้ที่ซื้อหนังสือจากผมทุกคนเลยครับ(ซึ่งก็ไม่ค่อยจะแน่ใจเหมือนกัน ว่าท่านต่างๆเหล่านั้นที่ซื้อหนังสือไป ต้องการลายเซ็นต์ของผมหรือไม่ อิๆๆ) บรรยากาศที่บู๊ทของสถาบันฟิตก็สนุกสนานเลยล่ะครับ ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันรวมจนถึงผู้ที่มาเข้าร่วมงานในครั้งนี้ต่างก็แวะเวียนกันเข้ามาที่บู๊ทของเรา นอกจากนี้ก็ยังมีบู๊ทจำหน่ายสินค้ารวมจนถึงโยคะสตูดิโอต่างๆอีกพอประมาณ แต่ผมรู้สึกว่าบรรยากาศของงาน รวมถึงการเดินเลือกซื้อสินค้าที่บู๊ทขายสินค้าต่างๆของผู้เข้าร่วมงานและผู้สนใจที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมงาน ค่อนข้างจะเงียบเหงากว่าทุกๆปีที่ผ่านมา









                      (ครูเอก, สรวิชญ์ Singing Yogi และครูจิมมี่)




                                (ครูหนู, ชมชื่น สิทธิเวช และครูจิมมี่)




                                (ครูจิมมี่, คุณยุ้ย, ครูวีณา, ครูเซบัสเตียน)



                                (ครูโจนัส และครูจิมมี่)




    (ทีมครูจาก It's Yoga เดวิด, ครูจิมมี่, ครูริคาโด้ และครูจอย)




                                (ครูไอช่า และครูจิมมี่)




                               (ครูอี๊ด สวนลุมฯ และครูจิมมี่)




                            (ครูจิมมี่, ครูมาร์ค และคุณแตง Lullaby Yoga)

และหลังจากงานวันแรกกำลังผ่านพ้นไป ผมก็เดินทางกลับมาพักผ่อนยังที่พักของผม เพราะตั้งใจว่างานในวันที่สอง ผมก็จะไปนั่งประจำที่บู๊ทเพื่อโปรโมทคอร์สครูฝึกโยคะของสถาบันฟิต และหนังสือ"เรื่องเล่า...จากครูโยคะ"ของผม  สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ค่อยๆปรากฏสัญญาณเตือน เมื่อภรรยาของผมที่กำลังตั้งครรภ์ได้เกือบจะ ๙เดือนแล้ว บอกกับผมว่ามีการเกร็งภายในช่องท้องเป็นระยะๆจนทำให้รู้สึกปวดหน่วงๆ คุณหมอที่ผมและภรรยาไปฝากครรภ์ไว้ท่านได้แนะนำว่า หากในช่วงก่อนที่จะครบกำหนดครรภ์ ๙เดือนนี้ ภรรยาผมมีการเจ็บเกร็งภายในช่องท้องอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกๆ๑๐นาที ยาวนาน ๒-๓ชั่วโมง โดยที่อาการเกร็งที่ว่านี้จะทำให้รู้สึกปวดหน่วงๆและถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเราเริ่มรู้สึกว่าอาการปวดค่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็ให้รีบมาที่โรงพยาบาลทันที...จากการสังเกตการณ์ ตั้งแต่ห้าทุ่มไปจนถึงตีสอง ก็พบว่าใช่แน่ๆแล้ว ผมจึงรีบพาภรรยาไปโรงพยาบาลทันที ซึ่งจริงๆแล้วคุณหมอได้กำหนดวันคลอดไว้เป็นวันพฤหัสฯที่ ๒๒ ธันวาฯ ๒๕๕๔


และในเวลา๐๓.๔๑น. ของเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ ๑๘ธันวาคม ๒๕๕๔ ลูกชายของผม(น้องขุน) ก็ได้ถือกำเนิด ลืมตามาสู่โลกนี้ ด้วยน้ำหนักตัว 3,095กรัม ถือได้เลยว่าเสาร์ที่๑๗ และอาทิตย์ที่๑๘ ธันวาฯ ที่ผ่านมานี้เป็นวันดีๆมากๆเลยครับสำหรับผม  ถึงแม้นว่าผมจะต้องอดตาหลับขับตานอนก็ตาม(ดีมากๆเลยนะครับที่ลูกชายคนนี้รู้จังหวะเวลา มาคลอดหลังจากที่ผมสอนงานใหญ่เสร็จพอดี หากคลอดคืนก่อนที่จะต้องขึ้นสอนล่ะก็ คงจะจินตนาการไม่ถูกเลยล่ะครับสำหรับผม) ช่วงนี้ผมก็เลยต้องมีการงดการสอนในบางคลาสบ้างพอประมาณ เพื่อมาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับภรรยาของผมและคอยแบ่งเบาภาระบางส่วนในการเลี้ยงลูกน้อย สมาชิกใหม่ของครอบครัวเรา








                               (ครูจิมมี่ กับน้องขุนแรกเกิด)

ช่วงเวลาดีๆของผมกับการสอนโยคะ มิตรภาพอันงดงามจากเพื่อนๆครูโยคะและผู้มาร่วมเข้าเรียนโยคะในคลาสของผม ความรักและกำลังใจที่แสนงดงามและยิ่งใหญ่จากครอบครัวอันเป็นที่รักของผมจนทำให้ผมได้มีสมาชิกใหม่ของครอบครัวอีก ๑คน 


แล้วพบกันใหม่ ในงานไทยแลนด์โยคะเฟสติวัล ปีหน้านะครับ ซึ่งก็ยังไม่มีอะไรแน่นอนว่าจะจัดที่ไหน เมื่อไหร่ และก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าผมจะได้รับเกียรติให้ขึ้นสอนอีกหรือไม่...แต่ที่แน่ๆก็คือว่าปีหน้าผมและภรรยาไม่มีทายาทเพิ่มแน่นอนครับ อิๆๆ

ขอพลังแห่งโยคะ, วันดีๆ, ความรัก, ความศรัทธา จงอยู่กับทุกๆคนตลอดไป

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ


วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โอกาสอะไร...ที่พวกเราได้รับจากโยคะ


โอกาสอะไร...ที่พวกเราได้รับจากโยคะ

จากการที่ผมได้มีโอกาสรู้จักกับคุณอิทธิฤทธิ์ ประคำทอง บรรณาธิการของสื่อโยคะออนไลน์ "อรุโณทัย" จึงทำให้ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องโยคะกับคนอื่นๆมากขึ้น ซึ่งคุณอิท มักจะมีการตั้งหัวข้อ หรือเปิดประเด็น ที่จะให้พวกเราได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในวงการโยคะเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อนำข้อมูลต่างๆที่ได้รับจากคนในวงการโยคะไปเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยล่ะครับ

ล่าสุด หัวข้อ หรือ ประเด็นที่คุณอิทได้หยิบยกขึ้นมาก็คือ "โอกาสที่เราได้รับจากโยคะ" ผมว่าเป็นหัวข้อที่ดีมากๆและหลายๆคนคงมีความทรงจำดีๆและความประทับใจต่างๆอย่างมากมายเกี่ยวกับโยคะ ซึ่งผมเองก็เลยถือโอกาตรงนี้ ร่วมแบ่งปันความคิดเห็นในหัวข้อนี้ตามมุมมองของผมดังต่อไปนี้ 

โดยส่วนตัวแล้ว โอกาสที่ผมเองได้รับ หลังจากที่ผมได้เริ่มรู้จักกับโยคะและเริ่มฝึกโยคะนั้นมีเยอะเสียจนผมจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยล่ะครับ ผมขอจำแนกเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

1.โอกาสที่สำคัญมากๆในชีวิตการทำงานของผมมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คือการที่ผมได้เลือกตัดสินใจที่จะมาเป็นครูสอนโยคะ หลังจากที่รู้สึกดีมากๆกับการฝึกโยคะครั้งแรกของผมเมื่อ12ปีที่แล้ว ในสมัยที่ผมเพิ่งจะเริ่มทำงานใหม่ๆด้วยการเป็นครูฝึกในฟิตเนส มันเป็นการทำให้ผมได้มีโอกาสนำเอาความสามารถที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในตัวผมออกมาสร้างประโยชน์อย่างมากมายให้กับตัวเองและผู้อื่นอย่างไม่น่าเชื่อ

 

2.เป็นโอกาสที่สำคัญมากๆ ที่ทำให้ผมได้ค้นพบกับอาชีพที่ผมรัก อาชีพที่ผมทำแล้วมีความสุข และยังคงเลือกที่จะพัฒนา, ก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกับอาชีพนี้(ณ จุดนี้ทำให้ผมเลือกที่จะลาออกจากงานประจำ เพื่อมาสอนโยคะแบบอิสระจนถึงทุกวันนี้) มันไม่ใช่เรื่องง่ายครับที่เราจะใช้เวลาเพียงไม่นานนักค้นพบกับสิ่งที่ตนเองทำแล้วรัก ทำแล้วมีความสุข และสามารถนำมาเป็นอาชีพได้ ดังนั้นผมถือว่านี่เป็นโอกาส+โชคดีครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผม
 

3.เป็นโอกาสดีๆ ที่ทำให้ผมได้เดินทางไปเข้าฝึกอบรมและสอนโยคะในสถานที่ต่างๆ มากมายและได้พบกับผู้คนมากมายในหลายๆสาขาวิชาชีพที่มีใจรักในการฝึกโยคะ ทำให้ผมได้พบกับมิตรภาพ และได้รับประสบการณ์ต่างๆอย่างมากมายในชีวิตการตระเวนสอนโยคะแบบอิสระ(มีครบทุกรสชาติเลยล่ะครับ)

และสำหรับทุกๆคนแล้วโอกาสสำคัญมากๆที่เราได้รับจากโยคะก็คงจะคล้ายคลึงกัน คือการที่โยคะได้มอบโอกาสให้กับพวกเราทุกคนด้วยการสอนให้เราอยู่อย่างมีความสุข, สอนให้เราเรียนรู้ที่จะปรับตัวและอยู่กับธรรมชาติได้อย่างเหมาะสม กลมกลืน ลงตัว, สอนให้เรารู้จักพอเพียงและเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แบ่งปัน, สอนให้เราเข้าใจผู้อื่นและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุข

และในเมื่อโยคะได้ให้โอกาสกับพวกเรามากมายขนาดนี้ ผมเองก็คงจะต้องใช้โอกาสที่ได้รับมานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด กับตนเอง ผู้อื่น สังคมและประเทศชาติ ตามกำลังความสามารถของผมโดยผมเลือกที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่คิดว่าน่าจะเป็น ประโยชน์กับผู้อื่นผ่านบล็อโยคะของผมhttp://jimmyhathavinyasayoga.blogspot.com/ รวมจนถึงการสอนโยคะการกุศลเพื่อรวบรวมเงินไปสมทบทุนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในโอกาสต่างๆ ภายใต้ชื่อโครงการ "Shanti to Thailand with Karma Yoga, We can do it Together" ผมถือว่านี่คือการส่งต่อโอกาสไปสู่ผู้อื่นที่ผมพอจะสามารถกระทำได้

"เมื่อเราเป็นผู้ที่เคยได้รับโอกาส เราเองก็ควรจะเป็นผู้ที่มอบโอกาสหรือส่งต่อโอกาสให้ผู้อื่นบ้างเช่นกัน"

สามารถเข้าไปอ่านความคิดเห็นของคนในวงการโยคะท่านอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ 

http://issuu.com/ittirit/docs/arunothai10

ขอพลังแห่งโยคะและโอกาสที่เราพึงปรารถนาจงอยู่กับเราทุกๆคนตลอดไป

นมัสเต,


จิมมี่โยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger