ครั้งแรก...สำหรับการสอนโยคะนอกสถานที่(ของจิมมี่)
เพียงไม่นานเท่าไหร่นัก หลังจากฝึกโยคะกับครูวัฒน์และสอนโยคะให้กับสมาชิกในฟิตเนสที่ผมทำงานอยู่ ครูวัฒน์ก็คงเห็นว่าผมมีแววพอสอนได้ ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวนั้นครูวัฒน์ มีงานสอนโยคะติดต่อเข้ามาจนล้นมือ ครูวัฒน์จึงให้โอกาสผมได้ไปสอนโยคะนอกสถานที่เป็นครั้งแรก ครูวัฒน์ติวเข้มให้ผมพักใหญ่จนมั่นใจ ว่าผมสอนได้แน่ๆ จึงให้ผมไปสอน
ขอกล่าวถึงครูวัฒน์ พอสังเขปว่า ครูวัฒน์ก็เป็นคนแรกๆ ที่นำโยคะแนวใหม่มาเผยแพร่ในกรุงเทพฯ ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านได้เดินทางไกลไปเรียนโยคะมาหลายแห่ง ทั้งที่ อินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, ฐิเบต และสิขิม ครูวัฒน์เรียนทุกแขนงของโยคะเท่าที่ท่านจะสามารถเรียนได้ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวจริงทางด้านโยคะอีกท่านหนึ่งในวงการ และทุกๆปีท่านก็จะต้องเดินทางกลับไปเยี่ยมสำนักที่ท่านได้เคยเรียนมาพร้อมกับศึกษาเพิ่มเติมเทคนิคใหม่ๆทางด้านโยคะและอายุรเวท อยู่เรื่อยๆ
สถานที่แรกที่ผมไปสอน ก็เป็นหน่วยราชการแห่งหนึ่ง ย่านพญาไท เป็นการรวมเงินกันมาเรียนหลังเลิกงาน มีคนเรียนประมาณ15-20คน จำได้ว่า สอนเย็นวันอังคารหลังจากที่ผมออกเวร จากฟิตเนส บ่ายสามโมงตรง ก็รีบวิ่งออกมาสอนให้ทัน สี่โมงครึ่ง เป็นห้องติดแอร์แต่ผมเหงื่อออกเยอะมากเหมือนดังว่าเขาไม่ได้เปิดแอร์ ทุกคนที่จะเรียนจะต้องนำอุปกรณ์ ปูรองนั่ง,นอน มากันเอง ในช่วงเวลานั้นเสื่อโยคะแบบเป็นกิจลักษณะเหมือนปัจจุบันยังไม่ค่อยมี ถึงมีก็ราคาแพงมากต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ที่เราพอจะหามาใช้ได้ราคาไม่แพงมากนักตามฐานะของเราๆ ก็คือผ้าห่มหนาๆนำมาพับครึ่ง,ที่นอนปิคนิค หรือเบาะโฟมที่ปูรองนอนในเต๊นท์ ราคาจะตกประมาณผืนละ ร้อยกว่าบาท เท่านี้ก็ถือว่าเป็นการลงทุนสูงแล้วสำหรับพวกเราทุกคน จริงๆแล้วการฝึกโยคะนั้นแทบจะไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรเลย แต่สิ่งที่พูดมานี้สำคัญมากมันจะช่วยเราป้องกันการบาดเจ็บจากการฝึก ช่วยลดแรงกดน้ำหนักของร่างกายกับพื้นแข็งๆ อาทิเช่นหัวเข่า หรือกระดูกสันหลังของเราซึ่งจะต้องลงไปสัมผัสพื้นบ่อยมากในการทำท่าโยคะอาสนะ ส่วนใหญ่ผู้ที่ฝึกโยคะกับผมที่นี่อายุจะอยู่ในช่วง 35-50ปี จึงสอนแบบเรื่อยๆ ค่อยเป็น ค่อยไป ทุกคนที่นี่ก็นิสัยดีมากๆด้วย เป็นกันเอง การสอนที่นี่จึงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก และผมก็สอนโยคะอยู่ที่นี่เป็นเวลานานหลายปี
หลังจากนั้นไม่นานนัก ผมก็เริ่มมีงานสอนโยคะนอกสถานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีงานสอนเกือบทุกวัน ทั้งการทำงานประจำและวิ่งออกมาสอนโยคะนอกสถานที่ จึงทำให้มีเวลาพักผ่อนค่อนข้างน้อยและงานหนัก ในที่สุดผมจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำหลังจากทำงานประจำได้เพียงแค่ปีกว่าเท่านั้นเอง เพื่อมาทำในสิ่งที่ตนเองรักอย่างเต็มตัว คือสอนโยคะเพียงอย่างเดียว ในเวลานั้นก็ไม่กล้าบอกให้ทางครอบครัวทราบ เพราะกลัวทางบ้านจะเป็นกังวลกับการตัดสินใจของผม ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นไปได้สองทางคือ ทางแรกประสบความสำเร็จกับการสอนโยคะ ส่วนอีกทางหนึ่งซึ่งไม่มีใครปรารถนาจะให้เป็นก็คือความล้มเหลว ผมคิดเข้าข้างตัวเองนิดๆว่าอายุเรายังไม่มาก หากล้มเหลวก็แค่กลับไปหางานประจำทำใหม่ จึงตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัวสู่การสอนโยคะ วันไหนที่ว่างก็มักจะขอติดตามครูวัฒน์เพื่อไปสังเกตการสอน (จริงๆแล้วว่างทุกวัน นั่งๆนอนๆอยู่ที่ห้องพักเกือบทั้งวัน เพราะสอนวันละรอบเดียวเท่านั้น)
ผมค่อยๆสะสมประสบการ จากการติดตามไปดูครูวัฒน์สอน และจากการสอนของตัวเอง จนมีงานสอนโยคะทุกวันไม่มีวันหยุด จากสอนวันละรอบเพิ่มเป็นวันละสองรอบ ในเวลาปีเดียว ครูวัฒน์ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงต่างๆมากมายที่ควรต้องรู้ให้ผม สำหรับการเป็นครูสอนโยคะแบบอิสระ เพราะการทำงานลักษณะนี้การแข่งขันสูงมาก ต้องรู้จักการเอาตัวรอด และการรักษางานสอนให้คงที่หรือเพิ่มขึ้น อย่าให้งานลดลงเพราะจะมีผลกระทบกับรายจ่าย ดังนั้นทำได้ก็ต้องเก็บออมไว้เผื่อวันข้างหน้า คาดเดาอะไรไม่ได้ว่าเราจะมีงานแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ช่วงหลังๆงานสอนผมเริ่มค่อยๆเพิ่มขึ้น จนสอนถึงวันละสาม ถึงสี่รอบ จึงมีเวลาน้อยมากที่จะได้เจอครูวัฒน์และเวลาสอนก็ไม่ค่อยตรงกัน นานๆจึงจะได้เจอครูวัฒน์สักครั้ง ทุกครั้งที่เจอกับครูวัฒน์ก็จะทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงวันแรกของการฝึกโยคะของผมเสมอ หากผมไม่ได้เจอกับครูวัฒน์ในวันนั้นและถ้าผู้จัดการฟิตเนสไม่บังคับให้ผมสอนเต้นแอโรบิค ผมคงอาจจะไม่ได้เป็นครูสอนโยคะมาจนถึงทุกวันนี้
รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ
นมัสเต
จิมมี่โยคะ
เพียงไม่นานเท่าไหร่นัก หลังจากฝึกโยคะกับครูวัฒน์และสอนโยคะให้กับสมาชิกในฟิตเนสที่ผมทำงานอยู่ ครูวัฒน์ก็คงเห็นว่าผมมีแววพอสอนได้ ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวนั้นครูวัฒน์ มีงานสอนโยคะติดต่อเข้ามาจนล้นมือ ครูวัฒน์จึงให้โอกาสผมได้ไปสอนโยคะนอกสถานที่เป็นครั้งแรก ครูวัฒน์ติวเข้มให้ผมพักใหญ่จนมั่นใจ ว่าผมสอนได้แน่ๆ จึงให้ผมไปสอน
ขอกล่าวถึงครูวัฒน์ พอสังเขปว่า ครูวัฒน์ก็เป็นคนแรกๆ ที่นำโยคะแนวใหม่มาเผยแพร่ในกรุงเทพฯ ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่านได้เดินทางไกลไปเรียนโยคะมาหลายแห่ง ทั้งที่ อินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, ฐิเบต และสิขิม ครูวัฒน์เรียนทุกแขนงของโยคะเท่าที่ท่านจะสามารถเรียนได้ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวจริงทางด้านโยคะอีกท่านหนึ่งในวงการ และทุกๆปีท่านก็จะต้องเดินทางกลับไปเยี่ยมสำนักที่ท่านได้เคยเรียนมาพร้อมกับศึกษาเพิ่มเติมเทคนิคใหม่ๆทางด้านโยคะและอายุรเวท อยู่เรื่อยๆ
สถานที่แรกที่ผมไปสอน ก็เป็นหน่วยราชการแห่งหนึ่ง ย่านพญาไท เป็นการรวมเงินกันมาเรียนหลังเลิกงาน มีคนเรียนประมาณ15-20คน จำได้ว่า สอนเย็นวันอังคารหลังจากที่ผมออกเวร จากฟิตเนส บ่ายสามโมงตรง ก็รีบวิ่งออกมาสอนให้ทัน สี่โมงครึ่ง เป็นห้องติดแอร์แต่ผมเหงื่อออกเยอะมากเหมือนดังว่าเขาไม่ได้เปิดแอร์ ทุกคนที่จะเรียนจะต้องนำอุปกรณ์ ปูรองนั่ง,นอน มากันเอง ในช่วงเวลานั้นเสื่อโยคะแบบเป็นกิจลักษณะเหมือนปัจจุบันยังไม่ค่อยมี ถึงมีก็ราคาแพงมากต้องสั่งนำเข้าจากต่างประเทศ ที่เราพอจะหามาใช้ได้ราคาไม่แพงมากนักตามฐานะของเราๆ ก็คือผ้าห่มหนาๆนำมาพับครึ่ง,ที่นอนปิคนิค หรือเบาะโฟมที่ปูรองนอนในเต๊นท์ ราคาจะตกประมาณผืนละ ร้อยกว่าบาท เท่านี้ก็ถือว่าเป็นการลงทุนสูงแล้วสำหรับพวกเราทุกคน จริงๆแล้วการฝึกโยคะนั้นแทบจะไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรเลย แต่สิ่งที่พูดมานี้สำคัญมากมันจะช่วยเราป้องกันการบาดเจ็บจากการฝึก ช่วยลดแรงกดน้ำหนักของร่างกายกับพื้นแข็งๆ อาทิเช่นหัวเข่า หรือกระดูกสันหลังของเราซึ่งจะต้องลงไปสัมผัสพื้นบ่อยมากในการทำท่าโยคะอาสนะ ส่วนใหญ่ผู้ที่ฝึกโยคะกับผมที่นี่อายุจะอยู่ในช่วง 35-50ปี จึงสอนแบบเรื่อยๆ ค่อยเป็น ค่อยไป ทุกคนที่นี่ก็นิสัยดีมากๆด้วย เป็นกันเอง การสอนที่นี่จึงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก และผมก็สอนโยคะอยู่ที่นี่เป็นเวลานานหลายปี
หลังจากนั้นไม่นานนัก ผมก็เริ่มมีงานสอนโยคะนอกสถานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีงานสอนเกือบทุกวัน ทั้งการทำงานประจำและวิ่งออกมาสอนโยคะนอกสถานที่ จึงทำให้มีเวลาพักผ่อนค่อนข้างน้อยและงานหนัก ในที่สุดผมจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำหลังจากทำงานประจำได้เพียงแค่ปีกว่าเท่านั้นเอง เพื่อมาทำในสิ่งที่ตนเองรักอย่างเต็มตัว คือสอนโยคะเพียงอย่างเดียว ในเวลานั้นก็ไม่กล้าบอกให้ทางครอบครัวทราบ เพราะกลัวทางบ้านจะเป็นกังวลกับการตัดสินใจของผม ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นไปได้สองทางคือ ทางแรกประสบความสำเร็จกับการสอนโยคะ ส่วนอีกทางหนึ่งซึ่งไม่มีใครปรารถนาจะให้เป็นก็คือความล้มเหลว ผมคิดเข้าข้างตัวเองนิดๆว่าอายุเรายังไม่มาก หากล้มเหลวก็แค่กลับไปหางานประจำทำใหม่ จึงตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัวสู่การสอนโยคะ วันไหนที่ว่างก็มักจะขอติดตามครูวัฒน์เพื่อไปสังเกตการสอน (จริงๆแล้วว่างทุกวัน นั่งๆนอนๆอยู่ที่ห้องพักเกือบทั้งวัน เพราะสอนวันละรอบเดียวเท่านั้น)
ผมค่อยๆสะสมประสบการ จากการติดตามไปดูครูวัฒน์สอน และจากการสอนของตัวเอง จนมีงานสอนโยคะทุกวันไม่มีวันหยุด จากสอนวันละรอบเพิ่มเป็นวันละสองรอบ ในเวลาปีเดียว ครูวัฒน์ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงต่างๆมากมายที่ควรต้องรู้ให้ผม สำหรับการเป็นครูสอนโยคะแบบอิสระ เพราะการทำงานลักษณะนี้การแข่งขันสูงมาก ต้องรู้จักการเอาตัวรอด และการรักษางานสอนให้คงที่หรือเพิ่มขึ้น อย่าให้งานลดลงเพราะจะมีผลกระทบกับรายจ่าย ดังนั้นทำได้ก็ต้องเก็บออมไว้เผื่อวันข้างหน้า คาดเดาอะไรไม่ได้ว่าเราจะมีงานแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ช่วงหลังๆงานสอนผมเริ่มค่อยๆเพิ่มขึ้น จนสอนถึงวันละสาม ถึงสี่รอบ จึงมีเวลาน้อยมากที่จะได้เจอครูวัฒน์และเวลาสอนก็ไม่ค่อยตรงกัน นานๆจึงจะได้เจอครูวัฒน์สักครั้ง ทุกครั้งที่เจอกับครูวัฒน์ก็จะทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงวันแรกของการฝึกโยคะของผมเสมอ หากผมไม่ได้เจอกับครูวัฒน์ในวันนั้นและถ้าผู้จัดการฟิตเนสไม่บังคับให้ผมสอนเต้นแอโรบิค ผมคงอาจจะไม่ได้เป็นครูสอนโยคะมาจนถึงทุกวันนี้
รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ
นมัสเต
จิมมี่โยคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น ของคนในวงการโยคะ