เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โยคะ...มนตรา...ศรัทธาและเสียงเพลงในใจของคุณ


โยคะ...มนตรา...ศรัทธาและเสียงเพลงในใจของคุณ

ทุกคนที่ฝึกโยคะเป็นประจำสม่ำเสมอ คงทราบและพอจะเข้าใจการสวดมนตราหรือมันตรา คือการเปล่งเสียงบทสวดมนตร์ที่เป็นภาษาสันสกฤต ทั้งๆที่ในตอนแรก เราไม่ค่อยจะทราบถึงความหมายของบทสวดต่างๆเหล่านั้นสักเท่าไร  รู้แต่เพียงว่าเมื่อสวดมนตรา บทต่างๆเหล่านั้นเสร็จแล้วจะรู้สึกโล่งสบายใจแบบที่บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน จึงทำให้เราอยากที่จะทราบถึงความหมายของบทสวดมนตราต่างๆเหล่านั้น รวมจนถึงเทคนิคการเปล่งเสียงในการสวดมนตราที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการสวดมนตราก็เป็นการทำสมาธิในขั้นเบื้องต้นอีกรูปแบบหนึ่ง มันทำให้จิตใจของเราสงบและนำจิตมาจดจ่อกับบทสวดมนตรา จึงทำให้เราตัดขาดจากสิ่งต่างๆที่สับสนวุ่นวายทั้งภายนอกและภายในจิตใจของเราไปชั่วขณะ  นอกจากนี้แล้วยังเป็นการรำลึกถึงครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาโยคะขึ้นมาบนโลกใบนี้แถมยังช่วยบริหารลมหายใจและปอดของเราไปในเวลาเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นเพียงบทสวดมนตร์สั้นๆ แต่ก็มีพลังมหาศาล

การสวดมนตรา เชื่อมโยงเราไปสู่เรื่องของพลังศรัทธา ที่กาลครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้วมนุษย์ต้องกาลสิ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ เพื่อให้พ้นจากความกลัวและด้านมืดในจิตใจของตน ความกลัวและด้านมืดในใจจึงเป็นแรงขับให้มนุษย์ในอดีต พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกเข้มแข็งและรู้สึกปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ   จึงพยายามที่จะติดต่อกับสิ่งที่ตนเองไม่เคยมองเห็นและเชื่อว่าสิ่งๆนี้มีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่สามารถปกป้องคุ้มครองตนเองให้พ้นภัยได้ จึงเกิดเป็นคำพูดสั้นๆบ่งบอกถึงความปรารถนาในใจตน พอเปล่งเสียงซ้ำๆบ่อยเข้า จึงกลายเป็นเหมือนบทสวดมนตร์ภาวนา และทำสืบต่อกันมาเรื่อยๆ เกือบทุกชาติศาสนาเผ่าพันธ์ มักมีการสวดมนตร์ภาวนาตามแบบฉบับของตนเอง

การสวดมนตราซ้ำๆกันบ่อยครั้งจนเป็นนิจ จึงทำให้เกิดป็นจังหวะของการท่องมนตราขึ้นมาแบบไม่ตั้งใจ จังหวะการสวดมนตราของแต่ละสำนักและของแต่ละบุคคลก็จะมีความแตกต่างกัน เร็วหรือช้าไม่เท่ากัน คล้ายๆกับจังหวะปราณยามะการหายใจของแต่ละคนก็จะสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใดก็ฉันนั้น และจากการท่องสวดมนตราซ้ำๆไปมา จนศัพท์เทคนิคบ้านเราเรียกว่าจำได้ขึ้นใจ ก็พัฒนามาเป็นท่องสวดมนตราในใจ ฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเราทีละนิด ทีละนิด จนเป็นจังหวะทำนองอันไพเราะที่อยู่ในหัวใจของเรา เป็นไปในทิศทางเดียวกับการฟังดนตรีแล้วเราจะรู้สึกผ่อนคลายจิตใจชื่นบาน แล้วถ้าหากว่าดนตรีหรือเพลงๆนั้น มีจังหวะที่ใกล้เคียงกับจังหวะที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจเราแล้วด้วยล่ะก็ จะทำให้เรารู้สึกสงบมีสมาธิ ผ่อนคลาย เปิดใจ หรือในบางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกหึกเหิมขึ้นมาในจิตใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับเนื้อหาของเพลงนั้นๆด้วย

และที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมอยากอธิบายให้เข้าใจว่า ทุกคนมีจังหวะชีวิตที่ไม่เหมือนกัน จังหวะดนตรีหรือเสียงเพลงที่ถูกฝังลึกอยู่ในจิตใจของเราแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกันด้วย มีบุคคลคนหนึ่ง ผมรู้จักเขาด้วยความบังเอิญเขามีจังหวะดนตรีในหัวใจที่ชัดเจน และยึดมั่นในจังหวะดนตรีนั้นเสมอมา ถึงแม้ว่าเขาจะหลงไหลในการฝึกโยคะมากขนาดไหน จังหวะดนตรีในหัวใจของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป เขาจึงตัดสินใจนำบทสวดมนตราตามแบบโยคะมาเปลี่ยนทำนองให้เป็นแบบเดียวกับจังหวะดนตรีในหัวใจของเขา  จึงเกิดเป็น โยคะแร็ปเปอร์ เอ็ม.ซี.โยจิก(คือไอ้หมอนี่มัน นำบทสวดมนตราแบบโยคะไปใส่ทำนองเพลงแร็ป ตามแนวของมันครับ) แรกๆผมรู้สึกรับไม่ค่อยได้และคิดในใจว่า โอ้แม่เจ้า! ไอ้นี่มันบ้าไปแล้วแน่ๆ ในความรู้สึกของผู้ฝึกโยคะทุกคนน่าจะคิดไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกันว่า เพลงแบบโยคะน่าจะมีจังหวะช้าๆฟังสบายผ่อนคลาย ความหมายดีประทับใจ ถึงแม้นจะนำบทสวดมนตรามาใส่ทำนองก็ควรใช้ทำนองที่ไม่เร็วมากจนเกินไป ซึ่งอาจจะคุ้นหูชื่อของผู้มีชื่อเสียงทางด้านการขับร้องเพลงแบบโยคะคือ กฤษณา แดส, ใจ อุททาน และคนอื่นๆอีกมากมาย แล้ว เอ็ม.ซี.โยจิก เขาเป็นใคร? มาจากไหน? ทำไม? ถึง ผ่าเหล่าผ่ากอ มาเป็นโยคะฮิปฮอป, โยคะแร็ป

ผมขอกล่าวถึง เอ็ม.ซี.โยจิก โดยสังเขป ผมก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับชายคนนี้มาก่อน ที่เจอกันโดยบังเอิญเพราะการที่ผมไปเข้าเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ ที่ประเทศฮ่องกง วันนั้นผมเพิ่งเข้าคลาส ชีวามุกติ กับ เดวิด ไลฟ์ เสร็จ กำลังตั้งท่าจะเดินทางกลับที่พัก ในระหว่างที่รอพลพรรคที่เดินทางไปด้วยกันจากเมืองไทย  ก็มีชาวต่างชาติคนหนึ่งไม่ระบุสัญชาติ ฟังจากการพูดน่าจะเป็นอเมริกัน รูปร่างสูงใหญ่ ตัดผมสั้นสกีนเฮด แต่มีหนวดเคราเล็กน้อย ใส่แว่นสายตา ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเกือบตลอดเวลา เดินเข้ามาทำการทักทายและจับมือผม มีป้ายคล้องคอเหมือนเป็นสต๊าฟ หรือเจ้าหน้าที่ในการจัดงาน ทุกคนในระแวกนั้นต่างมองมาที่เขาด้วยความสนใจ พอจะจับความรู้สึกของคนที่มองมาทางเขาได้ว่า เขาต้องเป็นคนดังมีชื่อเสียงอะไรสักอย่างแน่ๆ แต่สิ่งที่ผมคิดในใจในขณะที่เขาจับมือและทักทายผมก็คือ แกเป็นใครวะ? ฉันไม่รู้จักแกว่ะ แล้วทำไมแกเลือกเข้ามาทักทายฉัน? แล้วใจความสำคัญที่เขาพูดกับผมก็คือว่า คืนพรุ่งนี้อย่าพลาด โปรดให้เกียรติมางานสังสรรค์ของเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ด้วย ผมก็คิดในใจขึ้นทันทีว่า แกเห็นฉันเป็นอะไรเนี่ย? ฉันไม่ได้เป็นผู้ชายใจง่ายอย่างที่แกคิดนะเว่ย ส่วนอีกใจหนึ่งก็คิดว่าไอ้หมอนี่อาจจะเป็นผู้อำนวยการในการจัดเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ครั้งนี้ก็เป็นได้ ผมจึงแอบถามชายสับสนทางเพศคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้น(มันเป็นครูโยคะระดับนานาชาติด้วย) มันเสือกตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่าอะไรกันคุณไม่รู้จักเอ็ม.ซี.โยจิก เหรอ? ผมก็คิดในใจอีกว่าถ้ารู้จักฉันจะถามแกทำไมว๊ะ ด้วยเสียงของมันนี่เองจึงทำให้ เอ็ม.ซี.โยจิก เดินย้อนกลับมาที่ผม พร้อมกับคนแถวนั้นอีก 3-4 คน คนที่เดินตามมาด้วยพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นนักร้องเพลงโยคะที่ดังมากคนหนึ่งในวงการโยคะปัจจุบัน แล้วในที่สุดผมก็ได้รู้ว่า มันเป็นนักร้องนี่เอง(ดันนึกเลยเถิดไปได้ไกลถึงขนาดว่ามันเป็นผู้อำนวยการในการจัดงาน) บอกตามตรงนักร้องเพลงเกี่ยวกับโยคะที่ผมก็รู้จักก็มีแค่ กฤษณา แดส และ ใจ อุททาน สองคนนี้ขวัญใจผมเลย แต่ผมยังไม่ได้ซื้อเพลงเขามาฟังแบบเป็นเรื่องเป็นราวซักที เพราะไปฟังทีไร ทั้งอัลบั้ม 8เพลง ชอบแค่ 2เพลงจึงตัดใจไม่ซื้อ(งกนี่เอง) นี่ก็คือเหตุที่ผมได้รู้จักกับ เอ็ม.ซี.โยจิก

 การที่เราจะสามารถเข้าไปในงานสังสรรค์ ของเอเชียโยคะคอนเฟอเรนท์ได้นั้น ก็ต้องซื้อบัตรผ่านเข้าไปในงาน ผมจำราคาไม่ได้ แต่คับคล้ายคับคลาว่า ไม่น่าจะต่ำกว่า 500บาท เมื่อคิดเป็นเงินไทยแล้ว มิน่าล่ะแกเลยพยายามมาทำความรู้จักฉัน  ด้วยนิสัยของคนไทย ขี้เกรงใจและชอบช่วยเหลือคนอื่นอย่างผม จึงตัดสินใจขึ้นมาทันทีในใจว่า งั้นเรารู้จักกันแค่นี้ก็แล้วกันเอ็ม.ซี.โยจิก เพราะที่สำคัญตอนนั้นผมยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเขาร้องเพลงแนวไหน เสียงของเขาจะสะกดผมได้เหมือนที่กฤษณา แดส หรือ ใจ อุททาน ร้องหรือเปล่าก็ไม่รู้

และแล้วเหมือนสวรรค์ลิขิต วันรุ่งขึ้น ผมเข้าเรียนคลาสตำนานหนุมาน กับ มาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ช่วงท้ายคลาส มาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ได้เชิญ เอ็ม.ซี.โยจิก มาเป็นแขกรับเชิญร้องเพลงให้ทุกคนที่ร่วมเรียนในคลาสฟัง บอกได้คำเดียวเลยว่า โอ้แม่เจ้า! เราตกยุคไปแล้วหรืออย่างไรกัน เดี๋ยวนี้เพลงโยคะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เลยหรือนี่ ทุกคนในคลาสรวมจนถึงมาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน ต่างพากันกระโดดโรดเต้นกันแบบสุดเหวี่ยงเมื่อได้ยินเสียงเพลงสไตล์แร็ป หรือฮิปฮอป ที่เอ็ม.ซี.โยจิก ร้อง ก็คงมีแต่ผมคนเดียวที่อึ้ง.งง.จึงถือโอกาสแอบเก็บภาพมาเป็นหลักฐาน ดังนี้

ผมถ่ายภาพคู่กับมาสเตอร์ทวี เมอร์ริแกน
(เธอเคยขึ้นปกนิตยสารไทยแลนด์โยคะเจอร์นอล ฉบับเดือนม.ค - ก.พ. 2551)


คุณอ้อม, เอ็ม.ซี.โยจิก และผม








ผมมีโอกาสได้แอบถามเขาว่า ทำไมถึงได้นำบทสวดมนตราแบบโยคะ มาร้องเป็นเพลงฮิปฮอปหรือเพลงแร็ป? ไม่คิดหรือว่ามันจะดูขัดกับหลักการของโยคะตามแบบฉบับดั้งเดิม? สำหรับผม  ผมคิดว่ามันเป็นคำถามที่หนักแล้วก็ฟังดูค่อนข้างจริงจังสักนิดหนึ่ง แต่สีหน้าของผมเวลาทีถามเขาในขณะนั้น ก็ยิ้มๆพูดแบบทีเล่นทีจริง แต่ก็มีความคาดหวังในคำตอบและอยากทราบแนวคิดของเขาที่มีกับโยคะ

คำตอบที่เขาพูดก็คือว่า เขารักโยคะมาก เหมือนกับทุกๆคนที่มารวมตัวกันในงานเอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ ที่ฮ่องกง แล้วในขณะเดียวกันเขาก็รักเสียงเพลง จึงเป็นคนที่มีดนตรีและโยคะอยู่ในหัวใจตลอดเวลา แต่ในปัจจุบันนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว จะมีครูสอนโยคะสักกี่คนกันในปัจจุบันที่สอนตามตำราโยคะดั้งเดิมแล้วประสบความสำเร็จ ทุกวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีการผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา  บางคนก็ฝึกโยคะอยู่เพียงสไตล์เดียวและไม่คิดจะเปลี่ยนไปฝึกสไตล์อื่น บางคนฝึกทุกสไตล์ เช่นกันบางคนก็ฟังเพลงในแนวที่ตนเองชอบเพียงแนวเดียว ส่วนบางคนก็ฟังเพลงได้หลายๆแนว เช่นเดียวกับตัวเขา เขาก็อยากฟังเพลงโยคะในแนวจังหวะที่เขาอยากฟัง ดนตรีทุกแนวในความคิดของเขานั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี ทำไมจะต้องมีการปิดกั้น ควรเปิดใจให้กว้างและยอมรับในสิ่งใหม่ๆบ้าง การฝึกโยคะสอนให้เขาไม่เบียดเบียนและแบ่งปัน การแบ่งปันความรักและความสุขทำได้หลายวิธี แล้วการนำบทสวดมนตราแบบโยคะมาร้องเป็นฮิปฮอปหรือแร็ปก็คือวิธีของเขาการได้กระโดดโรดเต้นตามจังหวะเพลงของเขาเป็นการปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรจะเก็บเอาไว้ออกมา พลังดังกล่าวหากเก็บไว้มากเกินไป จะถูกแสดงออกมาจากตัวเราเป็นกรรมดีและกรรมไม่ดี หากเราระบายมันออกมาเป็นกรรมที่ไม่ดีจะแย่มากๆ อาจจะไปเป็นการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือเบียดเบียนผู้อื่น
หากเราได้ปลดปล่อยพลังบางสิ่งบางอย่างในตัวเราออกมาแล้ว เรารู้สึกมีความสุขสบายใจ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เขาบอกว่ามันก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักการของโยคะถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โดยตรงก็ตาม ซึ่งเขามีความถนัดแบบนี้ การกระทำของเขาเพี้ยนหรือไม่เพี้ยน เขาไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้ แต่เขามีความสุขและรู้สึกดีมากทุกๆครั้งที่ได้เห็นว่ามีคนกระโดดโรดเต้นไปกับจังหวะเพลงที่เขาร้อง เขาได้นำเสียงเพลงในใจของเขามาถ่ายทอดให้ผู้อื่นฟัง ซึ่งก็มีหลายๆคนที่มีเสียงเพลงในหัวใจคล้ายกันกับเขา และเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ

แล้วคุณล่ะทราบหรือไม่ว่า เสียงเพลงจากส่วนลึกของจิตใจของคุณเป็นสไตล์ไหน? แนวไหน? จังหวะอะไร? สำหรับตัวผมแล้ว ยังไม่แน่ชัด อาจจะเป็น แนว สามช่า ก็ได้ และในอนาคตก็อาจจะมี จิมมี่โยคะสามช่า คู่แข่งกับ เอ็ม.ซี.โยจิค (มันจะไปกันใหญ่แล้ว..ว..ว)
หวังว่าสักวันคุณคงจะรู้จักกับจังหวะของเสียงเพลงที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจคุณ

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับทุกคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

2 ความคิดเห็น:

  1. ลอง ออก จิ่มมี่สามช่าโยคะซักแผ่นก็น่าสนใจดีนะคะครูจิมมี่..อิ อิ

    ตอบลบ
  2. ขอขอบคุณค่ะที่ทำให้เราอ่านข้อความ แล้วมีความเข้าใจในโยคะขึ้นมาอีกเยอะ มีอะไรจะแนะนำเป็นเกร็ดความรู้อีกมั๊ยคะ
    ชอบโยคะค่ะ

    ตอบลบ

ความคิดเห็น ของคนในวงการโยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger