เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

เวิร์คชอป...Counter Poses for Yoga Asana with Jimmy


Counter Pose for Yoga Asana with Jimmy

หัวข้อ การอบรมหลักสูตร การทำท่าโยคะอาสนะเพื่อใช้ในการหักล้าง หรือเป็นท่าแก้(Counter Pose) สำหรับการฝึกโยคะอาสนะ เพื่อให้ร่างกายกลับมาสู่สภาวะสมดุล


วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2552 เวลา 13.00-17.00น.(4 ชั่วโมง)

สถานที The Yoga Connection ซอย ลาซาล 53(สนามแบดมินตัน)

วิทยากร นายยุทธนา พลเจริญ (ครูจิมมี่)

หลักการและเหตุผลของการฝึกอบรม
การฝึกโยคะเป็นที่นิยมกันอย่างแผ่หลาย ในปัจจุบัน บางท่านฝึกโยคะเพื่อการผ่อนคลายร่างกาย, จิตใจ, สร้างสมาธิ, พัฒนาระบบการหายใจ บางท่านฝึกโยคะเพื่อบำบัดอาการผิดปกติบางประการของร่างกายและจิตใจ บางท่านฝึกโยคะเพื่อมุ่งเน้นไปในทางการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะด้วยเป้าหมายใดก็ตามแต่ การดูแลและห่วงใยสุขภาพ น่าจะเป็นเป้าหมายที่ผู้ฝึกโยคะทุกท่านต้องการเป็นสำคัญ

คงต้องยอมรับ กันตรงๆว่าบางครั้ง การฝึกโยคะก็สามารถทำให้ผู้ฝึกหลายๆท่านเกิดการบาดเจ็บจากการฝึก ไม่ว่าจะเนื่องมาจาก สาเหตุใดก็ตามแต่ เราน่าจะมีแนวทางในการรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดอาจจะเกิดขึ้นจากการฝึกโยคะ

ดังนั้น การทำท่าโยคะอาสนะเพื่อใช้ในการหักล้าง หรือเป็นท่าแก้(Counter Pose) สำหรับการฝึกโยคะอาสนะ เพื่อให้ร่างกายกลับมาสู่สภาวะสมดุล รวมจนถึงความรู้ขั้นพื้นฐาน ทางด้านกายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา ก็คงจะเป็นส่วนสำคัญ ที่จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการฝึกโยคะทั้งของตัวเราเอง และผู้ที่ฝึกโยคะภายใต้การควบคุมดูแลของเรา รวมจนถึงช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้ฝึก เพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการฝึกโยคะ

เนื้อหาการฝึกอบรม ประกอบไปด้วย
การฝึกอย่างเข้มข้น ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ
- กายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยาขั้นพื้นฐาน
- เรียนรู้การทำงานของกล้ามเนื้อ ในการฝึกโยคะอาสนะขั้นพื้นฐาน
- การนำความรู้เรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อในขั้นพื้นฐาน มาประยุกต์ใช้ กับการฝึกโยคะอาสนะอย่างเหมาะสม
- การนำความรู้เรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อในขั้นพื้นฐาน มาประยุกต์ใช้ ในการทำท่าโยคะอาสนะเพื่อใช้ในการหักล้าง หรือเป็นท่าแก้(Counter Pose) สำหรับการฝึกโยคะอาสนะอย่างเหมาะสม
- การป้องกันการบาดเจ็บจากการฝึกโยคะขั้นพื้นฐาน

สิ่งที่ผู้เข้าฝึกอบรมจะได้รับ จากการฝึกอบรมในครั้งนี้
- พัฒนาความรู้ความเข้าใจในการฝึกโยคะให้ดียิ่งขึ้น
- รู้จักรูปแบบของการฝึกโยคะที่เหมาะสมกับตัวเราเอง
- ความรู้ทางด้านกายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา ในขั้นพื้นฐาน
- ช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการฝึกโยคะในขั้นพื้นฐาน
- พัฒนา การทำท่าโยคะอาสนะเพื่อใช้ในการหักล้าง หรือเป็นท่าแก้(Counter Pose) สำหรับการฝึกโยคะอาสนะ เพื่อให้ร่างกายกลับมาสู่สภาวะสมดุล และได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการฝึกโยคะอาสนะ
- สามารถแนะนำ ผู้ที่ฝึกโยคะภายใต้การควบคุมดูแลของเรา ให้ทำท่าฝึกโยคะอาสนะ อย่างปลอดภัย ถูกวิธี และได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการฝึกโยคะอาสนะ
- เอกสาร ประกอบการฝึกอบรม

ติดต่อสอบถามข้อมูล เพิ่มเติม ที่ The Yoga Connection โทร. 02- 398 - 5746 หรือ 081- 933 - 1242

นมัสเต

จิมมี่โยคะ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ฤดูฝน...กับความลำบากลำบน ของคนสอนโยคะ


ฤดูฝน...กับความลำบากลำบน ของคนสอนโยคะ

เชื่อว่าทุกๆท่านคงมีฤดูที่ตนเองโปรดปรานกันอยู่ในใจ ก็คงเช่นเดียวกันกับผม มีฤดูโปรดปรานในใจ แต่ฤดูที่รู้สึกว่าทรมารใจ อยากจะให้ผ่านฤดูนี้ไปให้เร็วที่สุดก็คือ ฤดูฝน(ไม่ใช่ฤดูอกหัก ของแคลอรี่ บาห์ บาห์ นะครับ) ในชีวิตการเป็นครูสอนโยคะของผม การไปสอนไม่ตรงเวลา มาสอนสายนั้นถือว่าเป็นเรื่องแย่มากๆสำหรับผม มีไม่บ่อยครั้งนักที่ทำให้ผมต้องไปสอนไม่ทันเวลา มาสอนสาย และส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในฤดูฝน
การตรงต่อเวลาเป็นคุณสมบัติข้อแรกๆ ที่ครูสอนโยคะแบบอิสระต้องยึดหมั่น ในบางวันที่ผมมีงานสอนต่อเนื่องหลายชั่วโมง และต้องเดินทางเปลี่ยนที่สอนแบบทำเวลา จึงทำให้หลายต่อหลายครั้งผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้บริการ มอเตอร์ไซด์รับจ้าง เพราะสภาวะการจราจรที่ติดขัดในเมืองหลวง มันดูจะเป็นการคมนาคมที่ดูจะมีความเสี่ยงพอสมควร แต่ก็เป็นหนทางที่ทำให้ครูสอนโยคะแบบอิสระอย่างผมไปสอนได้ตรงตามเวลา ในช่วงฤดูฝนความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามที่เราเคยได้ยินอย่างคุ้นหูว่า ฝนตกถนนลื่น ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ค่อยดี มักมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเป็นประจำ ดังนั้นช่วงที่ฝนตกมอเตอร์ไซด์รับจ้างหลายๆคันก็ไม่อยากเสี่ยงที่จะขับรถในช่วงที่ฝนตก จึงทำให้หา รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างได้ยากในช่วงที่ฝนตก และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมไปสอนไม่ทันเวลา

จากสิ่งที่ผมกล่าวมาข้างต้นบวกกับประสบการณ์การสอนโยคะเกือบ 10ปีของผม ทำให้ผมพบสัจธรรมชีวิตของครูสอนโยคะแบบอิสระอีกข้อหนึ่งว่า ผู้ที่ตกลงว่าจ้างเราไปสอน(นายจ้าง) ส่วนใหญ่เขามักจะไม่สนใจหรอกว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรเราจึงไปสอนสายไม่ตรงต่อเวลา เขารู้เพียงแค่ว่าเขาจ้างเราไปสอนเวลานี้ เราก็ต้องไปสอนเวลานี้ เพราะการไปสอนสายของเรานั้นธุรกิจของเขาอาจเสียหายได้ และที่สำคัญถ้าหากเราไปสอนไม่ตรงเวลาบ่อยๆเขาก็มีโอกาสเลิกจ้างเราไปสอนสูงมาก ข้อนี้เป็นสิ่งที่คนสอนโยคะในวงการทราบกันดี

ผมมีเหตุการณ์ 2-3 เหตุการณ์จะบรรยายให้ได้อ่านเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักในการเดินทางไปสอนโยคะในช่วงฤดูฝนของผม

เหตุการณ์ที่ 1 ขอตั้งชื่อเรื่องว่า "เปียกหมดเลยน๊ะครู"
วันนั้นเป็นค่ำวันศุกร์ ฝนตกพอประมาณด้วยความรีบเร่งผมจึงใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้างเพื่อไปสอนให้ทันเวลา 19.30น. ณ โรงแรมสามดาวแห่งหนึ่งย่านสนามศุภฯ วันนั้นไม่ทันฟังการพยากรณ์อากาศ จึงไม่ได้เตรียมอุปกรณ์กันฝน ผมมาถึงตรงตามเวลาพอดีแต่อยู่ในสภาพเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ แจ็คพอต ตรงที่ไม่มีชุดสำรองมาเปลี่ยน และพนักงานที่นั่นก็ไม่มีใครมีชุดสำรองให้ผมยืมด้วย ผมจึงจำเป็นต้องสอนทั้งเปียกๆโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งคอยห่อตัวไว้และอีกผืนปูบนMatโยคะเพื่อคอยซับน้ำจากตัวที่เปียกของผม เท่ากับว่าผมไม่สามารถเคลื่อนที่เดินสอนได้เพราะจะทำให้น้ำหยดเป็นทาง วันนี้ผมจึงเป็นครูที่ต้องปักหลักสอนอยู่กับที่ สมาชิกที่มาเรียนโยคะท่านหนึ่งคงสมเพชกับผมจนทนไม่ไหว จึงเดินออกไปถามเจ้าหน้าที่ฟิตเนสว่ามีชุดอะไรที่พอจะให้ครูสอนโยคะยืมใส่สอนไหม(ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมา) แต่คำตอบที่ได้รับรวดเร็วทันใจมาก ว่าไม่มีหรอกเพราะตอนนี้มีแต่พนักงานหญิงคงไม่มีชุดให้ยืมแน่ๆ สมาชิกท่านนั้นได้พยายามช่วยผมอย่างเต็มที่แล้ว ต่อไปก็คงเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องสอนโยคะทั้งเปียกๆ ไปจนจบชั่วโมง พอสอนเสร็จนักเรียนท่านหนึ่งพูดแบบแซวๆว่า "เปียกหมดเลยน๊ะครู" ตั้งแต่เกิดมาก็เคยได้ยินแต่โยคะร้อน แต่วันนี้ครูจิมมี่ต้องมาสอนโยคะเปียก(สุดยอดจริงๆเลย)

เหตุการณ์ที่ 2 ขอตั้งชื่อเรื่องว่า "วันนี้แต่งตัวแปลกๆน๊ะครู"
ก็เป็นเช่นเคยเมื่อฝนตกเราก็ต้องลุยฝนไปสอน ก็ต้องใช้บริการรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เป็นการไปสอนให้ฟิตเนสใหญ่แห่งหนึ่งย่านชานเมือง คราวนี้ผมมาถึงที่สอนก่อนเวลาเล็กน้อย ถึงแม้จะมีประสบการณ์ในเหตุการณ์แรกมาแล้ว ผมก็ยังลืมนำชุดสำรองติดตัวมาด้วยในวันนี้ จึงทำให้ผมต้องตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำอีกครั้ง ผมจึงเริ่มถามพนักงานฟิตเนสว่า "มีใครพอจะมีชุดสำรองให้ผมยืมบ้างไหมครับ?" มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งน้ำใจงามมากๆ เธอบอกว่า "มีค่ะแต่ไม่รู้ว่าจะใส่ได้หรือเปล่า แต่ดูจากรูปร่างน่าจะได้อยู่สูสีกัน" ใช่รูปร่างของน้องผู้หญิงใกล้เคียงกับผม แต่ด้วยทรงของกางเกงขายาวมันก็จะดูพอดีตัวไปนิดหนึ่ง ส่วนเสื้อมันก็เบอร์เล็กกว่าที่ผมเคยสวมใส่อยู่เล็กน้อย วันนี้จึงทำให้ผมมีสไตล์การแต่งกายมาสอนที่แปลกแตกต่างจากเดิม(เสื้อเล็ก, กางเกงเล็ก เด็กแนวชัดๆ) พอสมาชิกหลายๆคนเห็นผมในชุดนี้ก็อมยิ้มแล้วสะกิดต่อๆกัน ให้หันมามองที่ผม(ทำเหมือนเราเป็นตัวประหลาด) แล้วก็มีสมาชิกหัวโจกคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "วันนี้แต่งตัวแปลกๆน๊ะครู" สิ่งที่ผมพอจะทำได้เพื่อแก้เก้อเขินก็คือ ก่อนสอนผมจึง บอกกับสมาชิกทุกท่านให้ทราบว่า ผมเปียกฝนจึงต้องมาขอยืมชุดคนอื่นใส่สอนแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

เหตุการณ์ที่ 3 ขอตั้งชื่อเรื่องว่า "จิมมี่ทำไม ไม่รับโทรศัพท์?"
เหตุการณ์นี้เป็นฝันร้ายครั้งหนึ่งในชีวิตการสอนโยคะของผมเลยก็ว่าได้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เดียวกับเหตุการณ์ที่ 2 ที่เป็นฝันร้ายก็เพราะว่าผมมาสอนสายไม่ทันเวลา เนื่องจากฝนตกหนักมากๆ ต้องวิ่งหามอเตอร์ไซด์อยู่นานวึ่งมอเตอร์ไซด์ส่วนใหญ่หยุดหลบฝน งดบริการ กว่าจะได้รถก็ได้เวลาสอนแล้ว เจ้าหน้าที่ฟิตเนสที่ทำหน้าที่ประสานงานกับผมเห็นว่าถึงเวลาสอนแล้วผมยังไม่มาสักที เขาจึงพยายามโทรศัพท์หาผมหลายครั้งมากๆ แต่ในขณะนั้นผมไม่สามารถรับสายได้จริงๆเนื่องจากนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์และฝนก็ตกหนักมากๆด้วย ทางฟิตเนสเห็นท่าไม่ดี จึงให้น้องคนหนึ่งที่สามารถสอนโยคะได้เข้าไปสอนแทนผม สมาชิกบางท่านถึงขั้นไม่ยอมเรียนเมื่อเห็นว่าผมไม่มาสอน พอผมมาถึงก็เลยเวลาสอนไปประมาณ 20นาทีแล้ว พนักงานต้อนรับแนะนำให้ผมรีบเข้าไปสับเปลี่ยนสอนในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ผมเดินคอตกเข้ามาพร้อมกับกล่าวขอโทษสมาชิกทุกท่านที่ผมมาสอนสาย สมาชิกหลายๆท่านเข้าใจเป็นอย่างดี แต่คนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจผมในตอนนั้นเห็นจะเป็นพนักงานที่ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับผม เพราะเขาได้รับความกดดันจากสมาชิกในตอนที่ถึงเวลาสอนแล้วผมยังไม่มาสักที เขาจึงค่อนข้างเครียดมากๆทีเดียว ตรงนี้ผมเข้าใจเป็นอย่างดี หลังจากที่ผมสอนเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวขอโทษสมาชิกทุกท่านอีกครั้ง แล้วก็ต้องไปพบกับผู้ที่ทำหน้าที่ประสานงานกับผมเพื่อทำการขอโทษเขา พอเขาเจอหน้าผม ผมก็สัมผัสได้ทันทีถึงรังษีอำมหิตที่เปล่งประกายออกมาจากสีหน้าและแววตาของเขา คำพูดแรกที่ออกมาจากปากเขาผมยังคงจำได้ขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้คือ "จิมมี่ทำไม ไม่รับโทรศัพท์?" และก็ตามมาด้วยประโยคอื่นๆอีกมากมาย สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นก็คือยกมือไหว้แล้วกล่าวคำขอโทษ เขาจึงค่อยๆมีอาการที่เย็นลง(แต่จากคำถามแรกของเขา ผมได้แต่คิดตอบเขาในใจคนเดียวว่า "กูก็อยากจะรับ แต่มันรับสายไม่ได้จริงๆ") พอเขาอารมณ์เย็นลงเราก็คุยกันรู้เรื่องมากขึ้น แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

จึงทำให้ผมเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองเลยว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนอุปกรณ์กันฝนต้องพร้อมเสมอ แล้วถ้าจะให้ดีก็ต้องมีชุดสำรองสำหรับใส่สอนเตรียมเอาไว้ด้วย แล้วที่สำคัญหากเห็นท่าว่าจะไปสอนไม่ทันจริงๆก็ต้องรีบโทรแจ้งเขาก่อนว่าเราจะไปถึงอีกกี่นาที แล้วขอให้เขาช่วยแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้ก่อน

จึงเป็นกรณีศึกษาให้หลายๆท่านที่เป็นครูสอนโยคะอยู่แล้วแต่ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ หรือกำลังจะมาเป็นครูสอนโยคะได้นำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมต่อไป จะได้มีความพร้อมกับการเดินทางไปสอนโยคะในช่วงฤดูฝน

ขอพลังแห่งการสอนโยคะจงอยู่กับผมและทุกๆคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

เมื่อครูโยคะ...ต้องเป็นหนี้อ๊อกซิเจน



เมื่อครูโยคะ...ต้องเป็นหนี้อ๊อกซิเจน
 
หลายท่านคงสงสัยว่า การเป็นหนี้อ๊อกซิเจนนั้นมันเป็นเช่นไรกันหนอ? เพราะช่วงนี้คงจะคุ้นเคยกับคำว่า เป็นหนี้เงินกู้นอกระบบ, เป็นหนี้บัตรเดรบิต-เครดิต, เป็นหนี้ธนาคาร ฯลฯ แล้วไอ้เรื่องที่จะกล่าวถึง ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไปซื้ออ๊อกซิเจนเขาแล้วไม่มีเงินจ่าย ผมต้องขออธิบายกันยาวนิดหนึ่งเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเป็นหนี้อ๊อกซิเจนนั้นมักจะเกิดขึ้นกับนักกีฬา ที่มีสภาวะความต้องการอ๊อกซิเจนในปริมาณมากๆ ในขณะที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ซึ่งเกิดขึ้นกับผมเป็นประจำในขณะที่ฝึกซ้อมวิ่ง(สมัยที่ผมเป็นนักกรีฑาของมหาวิทยาลัย)

อธิบายเกี่ยวกับการเป็นหนี้อ๊อกซิเจนได้ดังนี้คือ เมื่อเราออกกำลังกายในช่วงแอโรบิค คือช่วงที่เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปใช้อย่างเพียงพอเพื่อสร้างพลังงาน ในช่วงนี้ร่างกายเราจะสามารถกำจัดกรดแลคติกได้ทัน (กับที่ถูกผลิตขึ้นมา) (กรดแลกติกเกิดเมื่อมีการออกกำลังกาย เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการสร้างพลังงานของร่างกาย) เมื่อเราออกกำลังหนักขึ้นๆ จนถึงระดับหนึ่ง เราจะ"เริ่ม"หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปสร้างพลังงานไม่เพียง (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Lactate threshold ) เป็นจุดที่อยู่ระหว่างหอบพอพูดได้กับหอบจนพูดไม่ออก ถ้ายังไม่เลยขึ้นไป ร่างกายยังพอกำจัดกรดแลกติกได้ทัน แต่ถือว่าเป็นจุดที่ปริ่มขอบแล้ว เมื่อยังออกกำลังหนักขึ้นไปอีก เราจะเข้าสู่ช่วงแอนแอโรบิค คือช่วงที่เราหายใจเอาออกซิเจนไปช่วยสร้างพลังงานไม่เพียงพอ (หอบจนพูไม่ได้) ร่างกายเราจึงต้องสร้างพลังงานจากกระบวนการอื่นๆ ซึ่งเราจะเริ่มกำจัดกรดแลกติกไม่ทัน (เริ่มเป็นหนี้ออกซิเจน) เมื่อกรดแลกติกสะสมมากเข้า เราจะรู้สึกล้ามากๆ จนไม่สามารถก้าวขาได้ดังใจอีก ถูกร่างกายบังคับให้วิ่งช้าลง จนเราได้ออกซิเจนพอ เราก็อาจสามารถไปต่อได้อีก (ก๊อก 2)

ผมไม่คาดคิดว่า สภาวะการเป็นหนี้อ๊อกซิเจน จะมาเกิดขึ้นกับผมอีก เพราะผม ล้างลาห่างหายจากการฝึกซ้อมกีฬามานานพอสมควร
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผมในช่วงที่ ผมเริ่มมีงานสอนโยคะเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนบางวันต้องสอนถึงวันละ 7-8 รอบ ในวันเกิดเหตุนั้นช่วงเวลาประมาณ18.00น. ผมต้องทำเวลาไปสอนในรอบต่อไป จากพญาไท ไปที่สุขุมวิท33(สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์)ให้ทันสอนตอนเวลา18.30น. จึงต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีพญาไทให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ไปสอนให้ทันเวลา ความซวยเริ่มบังเกิด คือ ฝนดันตกในระดับปานกลางไม่ถึงกับหนักมาก อย่างไรผมก็ต้องลุยฝนไป(ด้วยจรรยาบรรณของผมที่ว่า ต้องไปสอนให้ตรงเวลาไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม) ดีที่ช่วงเวลานั้นผมจะมีอุปกรณ์กันฝนคือเสื้อแจ็คเก็ตกันฝนติดตัวเสมอในช่วงฤดูฝน ผมจึงสวมแจ็คเก็ตกันฝนตัวใหญ่คลุมกระเป๋าเป้ที่สะพายหลังรวมจนถึงถุงที่ใส่ Matโยคะ โดยมี Hoodของเสื้อกันฝนคลุมศรีษะไว้ตลอดเวลา แล้วเมื่ออุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมผมก็วิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีพญาไท พอวิ่งผ่านเข้าไปจนถึงบนชานชลา รถไฟฟ้าที่กำลังจะมุ่งหน้าไปสถานีปลายทางอ่อนนุช ก็จอดรออยู่แล้ว ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปในขบวนรถอย่างไม่ลังเลใจ เพื่อให้ทันเวลาก่อนที่ประตูรถไฟฟ้าจะปิด เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาหลังเลิกงานจึงมีคนใช้บริการรถไฟฟ้าค่อนข้างหนาแน่น ผมจึงต้องยืนเบียดกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ผมยังคงรู้สึกเหนื่อยจากการวิ่งมาอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องสะกดอาการหืดหอบไว้พอควรเพราะเกรงใจผู้โดยสารท่านอื่นๆที่แวดล้อมอยู่ หลังจากที่รถไฟฟ้าปิดประตูได้เพียงไม่กี่วินาที ผมก็เริ่มรู้สึกว่าวันนี้รถไฟฟ้าโยกเยกมากกว่าปกติ ตาของผมก็ค่อยๆเริ่มพร่ามัวแบบที่พอจะเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าไม่ดีแน่แล้วเรา ผมมารู้สึกตัวอีกทีลืมตาขึ้นมา ก็พบว่ามีคนหลายคนยืนตีวงล้อมรอบตัวผมอยู่ด้วยความสนใจ ขณะนั้นสายตาเกือบทุกคู่ในขบวนรถไฟฟ้าก็มองมาที่ผมคนเดียวเลยครับ(เด่นมาก) เป็นลมล้มลงไปทั้งๆที่ยังสวมเสื้อกันฝนและมีสัมภาระสะพายอยู่อีกจำนวนหนึ่ง(รู้สึกอับอายมากที่สุดในตอนนั้น) มีพลเมืองดีหลายท่านรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของรถไฟฟ้ามาช่วยดูแลและประครองผมขึ้นมานั่ง ผมต้องการที่นั่งเพียงที่เดียวเท่านั้น แต่มีคนถึงสามคนแย่งกันสละที่นั่งให้ผม และก็อีกแหล่ะครับมีคนใจดีหลายคนต่างเดินเข้ามาหาผมพร้อมยื่นยาดม ยาหม่อง ให้ผมรวมแล้วได้มา 3ชิ้นครับ(คนไทยมีน้ำใจที่สุดในโลก) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากหลังจากที่ผมนั่งลงเพียงอึดใจเดียวรถก็จอดที่สถานีสยาม(สายตาหลายต่อหลายคู่ในขบวนรถก็ยังเฝ้ามองมาที่ผมอยู่เป็นระยะๆ คล้ายๆจะบอกให้รู้ว่าเขายังเป็นห่วงผมอยู่น๊ะ และจะเป็นกำลังใจให้ตลอดไป) พอไปถึงสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ผมก็มุ่งหน้าไปสอนตามปกติ โดยมาถึงก่อนเวลาสอนเพียงไม่กี่นาที การสอนก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น แต่ผมรู้สึกมีอาการเจ็บปากเล็กน้อย เหมือนปากแตก คงเป็นตอนที่ผมเป็นลมล้มลงไปบนรถไฟฟ้า ใบหน้าบริเวณปากอาจจะกระแทกพื้น(อาจส่งผลกระทบถึงสติสตางค์ของผมมาจนถึงทุกวันนี้)

จากเหตุการณ์นี้สรุปได้ด้วยตัวของผมเองว่า ผมเป็นหนี้อ๊อกซิเจน เนื่องจากวิ่งอย่างรีบเร่ง แถมยังสวมHoodกันฝน จึงทำให้อากาศไม่เพียงพอ ร่างกายผมจึงหยุดทำงานเพื่อรวบรวมอ๊อกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง

ประสบการณ์ครั้งนี้ สอนให้ผมรู้ว่าอย่าเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองมากจนเกินไป(ไม่เจียมสังขารเอาซะเลย) จะทำอะไรก็ควรจะประมาณตนให้ดี มีรุ่นพี่หลายๆคนก็พูดเชิงหยอกล้อกับผมเสมอว่า "ระวังให้ดีนะสอนมากเกินไปใช้ร่างกายมากเกินไปเดี๋ยวเงินทองที่หามาได้จะไม่พอกับค่ารักษาพยาบาลตัวเองตอนป่วยไข้" จากนั้นผมตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิตได้อย่างไม่ยากนัก เดชะบุญที่ในวันนั้นผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมจึงหันมาดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้น ด้วยการพยายามพักผ่อนให้เพียงพอและไม่โหมรับงานสอนจนมากเกินไป และขอฝากเป็นข้อคิดสะกิดใจสำหรับผู้ที่แวะเข้ามาอ่านบทความในบล็อกของผม

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพลังแห่งการสอนโยคะจะยังคงอยู่กับผมตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ 

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ


(ข้อมูล การเป็นหนี้อ๊อกซิเจน จาก patrunning.com)

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

โยคะ...กับเสียงรบกวนจากโทรศัพท์มือถือ(ภาคสอง)

(Jimmy in Akarna Dhanurasana)



โยคะ...กับเสียงรบกวนจากโทรศัพท์มือถือ(ภาคสอง)

ความเดิม...จากภาคที่แล้ว ได้ทิ้งคำถามไว้ให้ร่วมสนุกกัน(ไม่มีรางวัลอะไรให้นะจ๊ะ)ก็ยังเขียนข้อเสนอแนะเข้ามาได้เรื่อยๆนะ ไม่ต้องเกรงใจ

จริงๆแล้วประสบการณ์ในการสอนโยคะของผมกับการถูกรบกวนจากโทรศัพท์มือถือมีแบบโชกโชน หากผมเป็นขุนศึกก็คงมีรอยบาดแผลให้เห็นตามร่างกายเต็มไปหมด ถึงแม้ปัจจุบันจะผ่านประสบการณ์การสอนมานับไม่ถ้วนแต่ก็ยังคงเจอกับเสียงรบกวนจากโทรศัพท์มือถือเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละไม่ตำกว่าสองครั้งซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดกับการสอนย่านชานเมืองเป็นส่วนใหญ่ มีหลายเหตุการณ์แต่ผมจะขอยกเอาเหตุการณ์ที่จำได้ไม่ลืมมาเล่าให้ฟัง
โดยส่วนตัวของผมแล้ว ก่อนการสอนโยคะเกือบทุกครั้ง หากไม่ลืม ก็จะสอบถามสุขภาพผู้ฝึกว่ามีโรคประจำตัวอะไรที่เป็นข้อจำกัดในการฝึก จากนั้นก็จะบอกให้ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิในขณะที่เราฝึก(ปกติเรียนกับครูจิมมี่ก็แทบจะไม่มีสมาธิอะไรเหลือแล้ว อย่าต้องเพิ่มเสียงของโทรศัพท์มือถือเข้ามาอีกเลย) แต่หลายๆครั้งก็ยังไม่วายจะต้องมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในคลาสของผม ผมขอจำแนกออกเป็นCase Case ไป

Case ที่1 เสียงโทรศัพท์ที่เกิดขึ้นในคลาส เป็นเสียงของคนที่มาเข้าเรียนช้า คือพวกที่มาสายประมาณ 10นาที หลังจากที่เราบอกข้อกำหนดต่างๆไปแล้ว เราจะไปตำหนิอะไรก็ไม่ได้ ที่ทำได้ก็คือหันไปมองให้แกสำนึก แล้วผมก็จะไม่พูดอะไร นอกจากสอนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือเป็นการให้เกียรติกับเขา แล้วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าครั้งต่อไปเขาก็คงจะให้เกียรติผมเช่นกัน คือมาเข้าห้องเรียนตรงเวลาไม่สายจะได้ทราบข้อกำหนดในคลาสเหมือนกับคนอื่นๆที่มาก่อน การต่อว่าเขาต่อหน้าผู้คนจำนวนมากดูจะเป็นการประจานกันเกินไปและจะทำให้เขาอาย อาจไม่กล้ากลับมาเข้าเรียนกับเราอีก

Case ที่2 ประเภทไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังให้ได้ยิน แต่แอบรับสายและคุยแบบเบาๆกะว่าครูคงไม่ได้ยิน แต่อยากบอกให้ทราบว่า สำหรับคนเป็นครูสอนโยคะแล้ว ไอ้เสียงแอบคุยแบบนี้น่ารำคาญ คล้ายๆยุงที่มาบินอยู่ใกล้ๆหู ทำให้เสียสมาธิในการสอน บางครั้งอาจทำให้สอนผิดๆ หลุดสคริ๊ปการสอนเลยก็มี ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับผม ผมจะไม่ว่าอะไร แล้วก็จะเดินไปสอนตรงที่เขาคุยโทรศัพท์ทันที แบบว่าคุยได้ก็คุยไปผมก็จะแหกปากสอนอยู่ใกล้ๆ ส่วนใหญ่เขาจะวางทันที หรือถ้าไม่วางก็จะเดินออกไปคุยโทรศัพท์นอกห้องเรียน

Case ที่3 ประเภทไม่สนใจใคร ไม่ยอมปิดเสียง พอมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก็รับและสนทนาทันทีแบบไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ประเภทนี้เคยเจอประจำเหมือนกันครับ มักพบย่านชานเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ๆ,ป้าๆขาใหญ่เจ้าถิ่น ทำแบบนี้เป็นนิสัยส่วนลึกแบบไม่เคยคิดปรับปรุง จนบางครั้งสมาชิกท่านอื่นเริ่มไม่พอใจในพฤติกรรม ถึงขั้นเกิดการปะทะวาจากันจนเกือบมีเรื่องก็เคยมี ตอนที่ผมประสบการณ์การสอนยังไม่มากนักหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ผมจะแขนขาสั่น จนทำให้หลุดสคริ๊ปการสอนก็เคยมี ดังนั้นทุกกรณีที่มีการใช้โทรศัพท์ในคลาสเรียนของผม(ทุก Case) ผมต้องมีการทำโทษทุกครั้ง ด้วยการให้นักเรียนทุกคนทำท่ารับโทรศัพท์พร้อมกันทั้งชั้นเรียนเลย(Akarna Dhanurasana - Shooting Bow Pose ดังรูปด้านบน) ทำโทษกันเกือบทุกครั้ง จนบางครั้งต้องทำใจ แต่มีอยู่วันหนึ่งทำใจไม่ได้รู้สึกว่าคนเดิมคนนี้บ่อยมากเกินไป ผมจึงตะโกนเสียงดังขึ้นมาในขณะที่แกกำลังคุยโทรศัพท์ทันทีว่า " โทรศัพท์อีกแล้ว" แกจึงรีบเดินออกไปคุยนอกห้องทันที นักเรียนหลายคนรวมทั้งผมรู้สึก หายตึงเครียดและมีการแอบยิ้มเล็กๆริมปาก เหมือนได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาเสียที โชคดีที่เขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรผม เหตุการณ์วันนั้นจึงผ่านไปได้ด้วยดี

Case พิเศษ จำขึ้นใจไปตลอดกาล เหตุเกิด ณ ฟิตเนสใหญ่แห่งหนึ่ง ย่านชานเมือง(ด้วยจรรยาบรรณของครูโยคะแบบอิสระจึงไม่อาจเปิดเผยชื่อฟิตเนสได้) มีคนเรียนในคลาสประมาณ 50คน คู่กรณีของผมคนนี้เป็นผู้หญิงอายุประมาณสามสิบปลายๆถึงสี่สิบ ในขณะที่ผมกำลังสอนได้ประมาณ 20นาที ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เจ้าของโทรศัพท์ก็รีบรับสายและสนทนาทันที และก็ไม่ยอมออกไปคุยนอกห้อง ผมจึงเข้าไปก่อกวนโดยการเข้าไปแหกปากตะโกนสอนเสียงดังอยู่ใกล้ๆ คู่กรณีคนนี้แทนที่จะออกไปนอกห้อง ดันหันมามองผมด้วยสายตาคล้ายๆจะตำหนิผมว่าไม่รู้กาลเทศะ แล้วเธอก็นำนิ้วชี้ มาจ่อที่ปากเป็นสัญลักษณ์ จุ๊ ๆ ว่าอย่าส่งเสียงดัง ทำให้ผมยิ่งงงหนักเลย เพราะผมนี่แหล่ะที่ควรจะทำสัญลักษณ์จุ๊ ๆ ใส่แก ผมจึงหันไปมองสมาชิกที่แวดล้อมเธออยู่ พอคู่กรณีของผมคนนี้เงยหน้าและกวาดสายตามองไปรอบข้าง ด้วยสายตาที่ดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรของสมาชิกที่แวดล้อมอยู่หลายท่านจึงทำให้เธอต้องรีบเดินออกจากคลาสเรียนไปเลย หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ค่อยได้เจอสมาชิกท่านนี้อีกเลย

ทุกกรณีที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับประสบการณ์การสอนโยคะของผม บางครั้งโดยหน้าที่ของเราแล้วก็จำเป็นต้องใช้วิธีที่ละมุนละม่อมที่สุด เพราะการไปสอนโยคะในฟิตเนสนั้นต้องทำใจ กลุ่มผู้เรียนจะหลากหลายมากๆ แล้วเราก็ต้องสอนกึ่งๆบริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เรียนมากที่สุด ซึ่งจะต่างจากสตูดิโอโยคะโดยตรง ที่จะมีกฏระเบียบต่างๆที่ชัดเจนและครูผู้สอนสามารถตัดสินใจเด็ดขาดในคลาสสอนได้ทันที หากเกิดกรณี ตามCaseต่างๆที่ผมกล่าวมา ครูที่สอนในสตูดิโอโยคะโดยตรงคงจะเชิญนักเรียนคนนั้นออกนอกห้องทันที หรือไม่ก็พูดตำหนิทันทีเลยเพื่อประจานกันไปให้รู้สำนึก

ดังนั้นหากเรารู้จักที่จะเข้าใจผู้อื่นบ้าง และทำตามกฏกติกาของสังคมเหมือนคนอื่นๆเขา เราก็คงจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วก็คงจะไม่ถูกคนในสังคมเขาตำหนิเอา

ขอความสงบสุขในการฝึกโยคะจงอยู่กับทุกคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

โยคะ...กับเสียงรบกวนจากโทรศัพท์มือถือ(ภาคแรก)


โยคะ...กับเสียงรบกวนจากโทรศัพท์มือถือ(ภาคแรก)

พูดถึงการฝึกโยคะ เราย่อมต้องคิดถึงการเคลื่อนไหวในท่วงท่าที่มีสมาธิตามแบบฉบับของโยคะ แต่ถ้าหากการฝึกโยคะนั้น เป็นการฝึกในสตูดิโอ หรือศูนย์ฝึกที่มีคนเรียนอย่างน้อย 10คน แล้วดันมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา ทั้งๆที่ก็มีป้ายเขียนเตือนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนให้ทราบโดยทั่วกัน แต่ในกรณีที่อ่านหนังสือไม่ออกครูผู้สอนก็มักจะพูดเตือนให้ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือก่อนคลาสจะเริ่มเสมออยู่แล้ว ผมจึงมีคำถามสำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่าน บล็อกของผม ทั้งท่านที่เคยมีประสบการณ์ดังกล่าวแล้วก็ดีหรือยังไม่เคยเจอประสบการณ์ดังกล่าวก็ดี
คำถามแรก คือ คุณจะทำอย่างไรในกรณีที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องฝึกโยคะ? หากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของเสียงโทรศัพท์มือถือนั้น
ก. คิดตำหนิอยู่ในใจ
ข. หันไปมองต้นกำเนิดเสียงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ค. พูดเปรยๆเชิงตำหนิ แสดงความไม่พอใจให้ทราบ
ง. มองต้นกำเนิดเสียง และมองมาที่ครูผู้สอนเพื่อให้ครูแสดงบทบาท
จ. ให้อภัย ไม่คิดมากอะไร

คำถามที่สอง หากเสียงโทรศัพท์นั้นดังต่อเนื่องโดยไม่มีใครแสดงความเป็นเจ้าของ คุณจะทำอย่างไร?
(ใช้ตัวเลือกคำตอบเดียวกับ คำถามข้อแรก)

คำถามที่สาม หากคุณเป็นเจ้าของเสียงโทรศัพท์ คุณจะทำอย่างไร?
ก. รีบกล่าวคำขอโทษ และปิดโทรศัพท์ทันที
ข. รีบรับสายและเดินออกไปสนทนาด้านนอกห้องเรียน
ค. รับสายและรีบสนทนาในห้องเรียนโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด
ง. รับสายและสนทนาโทรศัพท์ในชั้นเรียนแบบไม่ต้องสนใจใคร
จ. ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของเสียงโทรศัพท์
คำถามที่สี่ หากคุณเป็นครูสอนโยคะที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าวนี้คุณจะทำอย่างไร?
(ข้อนี้ไม่มีตัวเลือก ให้ตอบเข้ามาได้ตามความคิดเห็นของแต่ละท่าน)
แล้วจะรออ่านคำตอบของทุกคนน๊ะจ๊ะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนร่วมแสดงความคิดเห็นเข้ามา

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

โยคะ...กับเหตุผลที่คนหันมาฝึกโยคะ

(จิมมี่ ในคลาส Adjustments กับครูโยคะ Rusty Well, Asia Yoga Conference 2009, Hongkong)



(บรรยากาศ ก่อนเริ่ม คลาสของ David Swenson ใน Asia Yoga Conference 2009, Hongkong)

โยคะ...กับเหตุผลที่คนหันมาฝึกโยคะ
  
ผมเคยพูดถึงเหตุผลของผม ที่ทำให้ผมเอาจริงเอาจังกับโยคะมาจนถึงทุกวันนี้ในบทความแรก(โยคะ...หนทางแห่งการดับทุกข์ ของจิมมี่) แต่ที่จะพูดถึงในบทความนี้คงเป็นเหตุผลของคนอื่นๆที่เขามาฝึกโยคะ จากการที่ผมเป็นครูสอนโยคะแบบอิสระ(ใครเขาจ้าง ให้ไปสอนที่ไหน เราก็ไปหมด)จึงมีโอกาสได้สอบถามนักเรียนถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เขามาฝึกโยคะ ได้ข้อมูลมากมาย พอที่จะจำแนกออกมาเป็นประเภทใหญ่ๆได้ดังต่อไปนี้

โยคะกับปัญหาด้านสุขภาพ หลายๆคนหันมาฝึกโยคะเพราะมีปัญหาทางด้านสุภาพ เช่น ปวดหลัง, ปวดคอ, ปวดไหล่, ปวดประจำเดือน, ปวดหัวไมเกรน, ภูมิแพ้, หอบหืด, ท้องผูก และอื่นๆอีกสารพัดโรค จึงหันมาใช้โยคะเป็นแพทย์ทางเลือก เพื่อบำบัดอาการต่างๆเหล่านั้น บางท่านก็บรรลุถึงความต้องการที่ถวิลหาด้วยศาสตร์แห่งโยคะ แต่ผู้ที่ต้องผิดหวังชอกช้ำจากการฝึกโยคะก็มีไม่น้อยเช่นกัน ของบางอย่างบางช่วงเวลามันก็เหมาะกับคนบางคน คงจะจัดให้เป็นสัจธรรมชีวิตอีกข้อหนึ่งได้ จะพูดว่ามันเปรียบเสมือนดาบสองคมก็คงไม่ผิดอะไร ทั้งนี้ทั้งนั้นจึงฝากถึงผู้ฝึกโยคะทุกท่านให้รู้จักประมาณความสามารถของตนเอง อย่าฝืนฝึกโยคะจนเกินกำลัง เราฝึกโยคะเพื่อตัวของเราเอง ไม่ใช่เพื่อการแข่งขันกับใคร เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจเลวร้ายเกินกว่าที่คิด ไม่มีใครหรอกที่จะรู้จักตัวเราเท่ากับตัวของเราเอง ดังพุทธภาษิตที่กล่าวไว้ว่า อตฺตนา โจทยตฺ ตานํ (อ่านว่า อัตตะนา โจทะยัต ตานัง) จงเตือนตนด้วยตนเอง ตามต่ออีกหนึ่งบทด้วย อโรคยา ปรมาลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

โยคะกับการฝึกสมาธิและจิต หลายๆคนเครียดเพราะได้รับความกดดัน จากการทำงาน ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมจนถึงปัญหาครอบครัว ตัวผมเองในอดีตก็อยู่ในกลุ่มนี้เช่นกันคือได้รับความกดดันจากการทำงาน การใช้โยคะฝึกจิตฝึกสมาธิเป็นหนทางที่ดูน่าจะสมานฉันท์มากที่สุด เป็นอะไรที่น่าสนใจและท้าทาย ผมเชื่อว่าการฝึกจิตหรือฝึกสมาธิ ไม่ว่าจะด้วยแนวทางใดก็ตาม เป็นการทำให้เราหันมาทำความเข้าใจกับตัวเราเองมากยิ่งขึ้น และเมื่อเราเข้าใจตนเองแล้ว การที่จะเข้าใจคนอื่นรอบๆตัวของเราก็คงจะไม่ยากนัก(อย่าทำประมาทไป...จิตมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง) การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นก็คงเป็นไปอย่างกลมกลืน ดังพุทธภาษิตที่กล่าวไว้ว่า จิตฺตํ รกฺเขถ เมธาวี (อ่านว่า จิตตัง รักเขถะ เมธาวี) ผู้มีปัญญาพึงรักษาจิต และแถมอีกหนึ่งบทด้วย จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหํ (อ่านว่า จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง) จิตที่ฝึกแล้วนำสุขมาให้

โยคะกับสื่อโฆษณาต่างๆในสังคม หลายๆคนหันมาฝึกโยคะเพราะเห็นดาราซูปเปอร์สตาร์คนโปรดหลายต่อหลายคน ออกรายการทีวี โดยบทสัมภาษณ์ที่มักขาดไม่ได้ก็คือ มีเคล็ดลับอย่างไรถึงได้รูปร่างดี และหน้าตายังดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ ก็จะได้รับคำตอบว่าช่วงนี้หากว่างก็จะไปออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ แต่ที่ฮอตฮิตที่สุดสำหรับช่วงนี้คงหนีไม่พ้นการฝึกโยคะ จึงทำให้หลายคนตัดสินใจรีบมาฝึกโยคะแบบกระทันหัน เพราะแรงบันดาลใจจากดาราคนโปรด เพียงหวังว่าจะมีรูปร่างทรวดทรงงดงาม หน้าตาดูอ่อนเยาว์เหมือนซูปเปอร์สตาร์ดาราคนโปรด จนลืมคิดวิเคราะห์ให้ดีว่า เหตุปัจจัยอะไรกันแน่ที่ทำให้ดาราคนนั้นเขาดูดี เพราะโยคะจริงๆหรือ? แต่ในที่สุดสักวันหนึ่งผมเชื่อว่าทุกคนคงจะค้นพบความจริง และสามารถตอบโจทย์ของตัวเองได้ในที่สุดว่าแท้ที่จริงแล้วโยคะให้อะไรกับเรา ดังพุทธสุภาษิต ที่ว่า นตฺถิ ฌานํ อปณฺญสฺส (อ่านว่า นัตถิ ฌานัง อะปัณญัสสะ) ความพินิจไม่มีแก่คนไร้ปัญญา(ฌาณไม่มีแก่ผู้ไม่พินิจ)

ควรคิดที่จะฝึกโยคะ จากความต้องการภายในจิตใจเบื้องลึกของตัวคุณเอง แล้วคุณจะพบกับความสุขอย่างแท้จริงที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ขอธรรมะและโยคะคุ้มครองทุกคน

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ



ป้ายกำกับ

Powered By Blogger