เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ภาษาอังกฤษ...กับการสอนโยคะ(ปัญหาระดับชาติของผม)


ภาษาอังกฤษ...กับการสอนโยคะ(ปัญหาระดับชาติของผม)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมก็เคยเป็นเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษมาก ขยันทำการบ้านและท่องศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นนิจ แต่พอเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆก็พบว่าแค่นั้นมันไม่เพียงพอหรอก และเมื่อเข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ก็พบกับปัญหาใหญ่ของภาษาอังกฤษในชีวิตของผม คือผมฟังชาวต่างชาติพูดภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ และไม่สามารถพูดโต้ตอบกับชาวต่างชาติได้เลย จึงทำให้ผมมีคะแนนวิชาภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างแย่(เป็นเครื่องยืนยันได้ทันทีว่า การเรียนภาษาอังกฤษจากโรงเรียนมัธยมต่างจังหวัดของผม ยังมีความบกพร่องในเรื่องการพูดและการฟัง)

จากเหตุการณ์ที่กล่าวถึงข้างต้น จึงส่งผลกระทบมาจนถึงชีวิตการทำงานของผมด้วยครับ หลายๆครั้งจึงทำให้ผมต้องพยายามหลีกเลี่ยงจากการพูดคุยภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ แต่มันก็เหมือนเป็นเวรกรรมคอยติดตามตัวตลอด ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ สมัยที่ผมเริ่มทำงานครั้งแรก ก็เป็นเจ้าหน้าที่ประจำฟิตเนส มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ ในฟิตเนสที่ผมทำงานตอนนั้นมีสมาชิกเป็นชาวต่างชาติถึงประมาณ 20% ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง จึงทำให้ทักษะในการพูดและการฟังภาษาอังกฤษของผม กระเตื้องขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

เหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดพลิกผลันครั้งสำคัญสำหรับภาษาอังกฤษในชีวิตของผม ก็เกิดขึ้นจากการสอนโยคะอีกนั่นแหล่ะครับ ตอนนั้นหลังจากที่ผมเริ่มสอนโยคะได้สักระยะหนึ่งแล้ว(ผมก็อาศัยช่วงเย็นในวันที่ผมเลิกงานเร็ว วิ่งออกมาสอนแบบพาร์ทไทม์) มีฟิตเนสใหญ่แห่งหนึ่งติดต่อให้ผมเข้าไปสอนโยคะแบบพาร์ทไทม์ ด้วยความดีใจ ค่าสอนไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก(แต่ก็ราคามาตรฐาน) ผมก็รีบตกลงรับงานทันที โดยหารู้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตการสอนโยคะของตนเองในขณะนั้น ไปสอนแรกๆผมก็มีความสุขและสนุกกับการสอนมากๆ พอเข้าสู่สัปดาห์ที่สองของการสอนความทุกข์ก็เริ่มมาเยือนครับ ดันมีสมาชิกชาวต่างชาติเข้ามาเรียนในคลาสผมสองคน ผมไม่เคยสอนโยคะเป็นภาษาอังกฤษครับ(ปกติในตอนนั้นแค่สอนเป็นภาษาไทยก็เกือบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว) เนื่องจากเขาไม่เข้าใจภาษาไทยเลย คลาสของผมยังไม่ทันจบชาวต่างชาติสองคนนั้นก็เดินไปบอกผู้จัดการฟิตเนสทันทีว่าผมไม่สอนโยคะเป็นภาษาอังกฤษ เขาฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ เท่านั้นหล่ะครับ งานเข้าเลยครับ! พอผมสอนเสร็จ ไม่กี่นาทีผู้จัดการฟิตเนสก็ส่งคนมาเชิญผมเข้าไปพบทันที ผมจำได้ว่าผู้จัดการฟิตเนสเป็นผู้หญิงสัญชาติสก็อตแลนด์ เขาก็พูดภาษาอังกฤษใส่ผมเป็นชุด แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดสักเท่าไหร่นักเขาจึงเรียกลูกน้องของเขาคนหนึ่งมาช่วยเป็นล่ามแปลให้ฟัง ได้ใจความสำคัญว่า "ต่อไปหากมีชาวต่างชาติเข้าเรียน ก็ให้สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วย หากสอนเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ อาจจะต้องพิจารณาหาคนอื่นที่พูดภาษาอังกฤษได้มาสอนแทน" เท่านั้นหล่ะครับ ถึงกับเครียดมากถึงมากที่สุด เหมือนโดนขุดคุ้ยปมด้อยยังไงยังงั้นเลย จนทำให้ผมต้องคิดอย่างหนักว่าจะกลับไปสอนที่นี่ต่อหรือจะขอยกเลิกคืนรอบสอนให้เขาไปเลยดีกว่า...แต่ก็ยังลังเลใจ ว่างานและโอกาสดีๆแบบนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ

ก็ต้องกลับเข้าสู่ การหาหนทางแห่งการดับทุกข์ของผมอีกครั้ง ผมจึงพยายามหาที่ปรึกษา ก็พี่ๆที่ทำงานด้วยกันที่ฟิตเนสหล่ะครับ อีกส่วนหนึ่งก็คือพี่ๆสมาชิกของฟิตเนสที่ผมทำงานอยู่(ส่วนใหญ่แนวคิดดีๆจะได้จาก พี่สมาชิกฟิตเนส เพราะสมาชิกหลายๆท่านมีพื้นฐาน ทางด้านภาษาอังกฤษค่อนข้างดี) ในที่สุดก็ได้พี่คนหนึ่ง ที่สร้างแรงบันดาลใจในการทำให้ผมกลับมาพยายามตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้ง คือพี่ซิง พี่ซิงเป็นนักธุรกิจ(แต่ผมไม่เคยถามพี่เขาเลย ว่าธุรกิจอะไร?) รู้แต่ว่าพี่เขาเป็นนักเรียนนอก และใจดีมากๆ บางครั้งเขาก็จะพาครอบครัวมาออกกำลังกายด้วย จึงทำให้ผมทราบว่าลูกชายของพี่ซิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมแต่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ(อเมริกา) และก็มีลูกสาวที่ยังเรียนอยู่ในระดับมัธยมปลาย(ในตอนนั้น ก็น่าจะประมาณปี พ.ศ.2543)  ผมจึงนำความหนักใจเรื่องของภาษาอังกฤษมาปรึกษาพี่ซิง แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ พี่ซิงมักเดินทางไปต่างประเทศบ่อยมากๆ เขาเลยซื้อหนังสือโยคะภาษาอังกฤษมาฝากผม(พูดตรงๆ เงินเดือนของผม ณ. ขณะนั้นไม่มีปัญญาซื้อหนังสือโยคะภาษาอังกฤษราคาขนาดนั้นได้แน่ๆ) พี่ซิงบอกต่อว่า พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าศัพท์เทคนิคต่างๆที่ใช้ในการสอนโยคะมีคำอะไรบ้าง ถ้ายังไงก็ลองไปดูก่อนแล้วจะได้มาฝึกวิธีการออกเสียง ผมพอที่จะจำแนก เทคนิคของพี่ซิงที่แนะนำผมได้ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1  คือการเลือกดูศัพท์ที่เราคิดว่า เราต้องใช้ในการสอน จากหนังสือโยคะภาษาอังกฤษ แล้วก็เขียนมาเป็น สคริ๊ปบทพูดที่ใช้ในการสอนสำหรับ คลาส 1ชั่วโมง

ขั้นตอนที่ 2 คือการนำสคริ๊ปบทพูดการสอนโยคะที่ผมคัดลอกและเรียบเรียงจากหนังสือโยคะภาษาอังกฤษ มาให้พี่ซิงช่วยปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ การพูดภาษาอังกฤษ เพื่อจะได้ฟังดูลื่นหูมากขึ้น

ขั้นตอนที่ 3 พี่ซิงก็จะสอนผม ฝึกการออกเสียงคำต่างๆ ให้ชัดเจนขึ้นเพื่อชาวต่างชาติจะได้ฟัง(สำเนียงต่างด้าวของผม)เข้าใจง่ายขึ้น อันนี้สำคัญ เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาพูดคุยและฝึกการออกเสียงกับพี่ซิงพักใหญ่ จนรู้สึกเกรงใจพี่เขามากๆ แต่ก็ได้เทคนิค ที่สำคัญมากๆมา ก็คือการที่เราจะต้องออกเสียงตัวสะกดที่ลงท้ายคำศัพท์แต่ละคำให้ชัดเจนที่สุด ตัวอย่าง เช่น First ก็ควรออกเสียง เฟิร์ส.สื่อ.ทื่อ อะไรทำนองนี้(ถึงแม้นว่ามันจะฟังดูเป็นเรื่องพื้นๆ แต่ไม่เคยมีใครสอนเทคนิคแบบนี้ให้ผมมาก่อน)

ขั้นตอนที่ 4 ก็คือการบ้านของผมที่ต้องกลับไปท่องสคริ๊ปคำพูดให้แม่นยำ และหัดพูดออกเสียงบ่อยๆ จะได้เคยชินไม่เขินอาย แล้วพี่ซิงก็แนะนำว่า ถ้าวันไหนเจอชาวต่างชาติที่พูดภาษาไทยเก่งๆ ก็ลองขอคำชี้แนะจากเจ้าของภาษาโดยตรงอาจจะได้อะไรเพิ่มเติมมากกว่านี้ แล้วพี่ซิงก็ออกตัวว่า...ถึงแม้นว่าพี่ซิงจะเป็นนักเรียนนอกหรือไปต่างประเทศบ่อยครั้ง แต่ก็คงสู้เจ้าของภาษาตัวจริงไม่ได้แน่นอน ดังนั้นควรหาเพื่อนต่างชาติที่พูดภาษาไทยเก่งๆไว้บ้างก็ดี

ทุกอย่างที่กล่าวมานั้น จากการแนะนำและช่วยเหลือของพี่ซิงทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เริ่มมีความมั่นใจขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ เริ่มพูดสอนเป็นภาษาอังกฤษพอได้ แต่ถ้าชาวต่างชาติสงสัยเดินเข้ามาถามอะไรหลังเลิกคลาส ผมก็ยังฟังเขาเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างอยู่ดี(พูดประโยคยาวๆมาก็จะเข้าใจแค่ประมาณ 50%) ผมจึงตัดสินใจไปเรียนภาษาอังกฤษ ที่สถาบัน เอ.ยู.เอ. ราชประสงค์ เพราะคิดว่าราคาไม่แพง และดูหลักสูตร มันเป็นขั้นเป็นตอนดี มีตั้งแต่ระดับพื้นฐานมากๆ ไปจนถึงขั้นสูง ไอ้ส่วนที่เป็นหลักสูตรแบบพื้นฐานมากๆดูจะเหมาะกับคนสติปัญญาประมาณผมดี(โง่ดักดาน) จึงไปลงทะเบียนและสอบวัดระดับ ผมจำได้ว่าตอนที่ผมไปเรียน เขามี 15ระดับ ผมสอบวัดระดับได้คะแนนที่ควรจะเริ่มต้นเรียนในระดับที่3 ก็ถือว่าแย่ แต่ก็คงดูดีกว่า สตาร์ทที่ระดับแรก ผมพยายามไปเรียนอย่างต่อเนื่องและก็ไม่เคยสอบตกจนไปถึงระดับที่ 10 เนื่องจากภาระการสอนที่มีเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ผมต้องหยุดเรียนที่ระดับนี้

การได้ฟังชาวต่างชาติพูดบ่อยๆ อย่างเช่นการที่ผมเรียนภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติที่เอ.ยู.เอ.ก็ช่วยทำให้ทักษะในการฟังเริ่มดีขึ้น ครูชาวต่างชาติคนหนึ่ง(ผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร) หลังจบคลาสผมเคยนำปัญหาของผมเกี่ยวกับความลำบากในการสอนโยคะด้วยภาษาอังกฤษ ไปปรึกษาเขา เขาจึงแนะนำผมเป็นภาษาไทยว่า "ปัญหาของคุณก็คือ เขินอาย ไม่กล้าพูดกลัวว่าจะพูดผิด แต่จริงๆแล้วคุณไม่ต้องกลัวอะไรเลย ดูอย่างผม ผมพูดภาษาไทยกับคุณผมก็พูดผิดๆถูกๆแต่คุณก็ไม่เคยว่าผมเลยแถมยังช่วยบอกอีกว่าจะต้องพูดยังไงให้ถูกต้อง มันเป็นเรื่องปกติ มันไม่ใช่ภาษาหลักที่คุณใช้ ดังนั้นจำไว้ว่า อยากจะพัฒนา ต้องพูดบ่อยๆโดยไม่ต้องกลัวว่าจะพูดผิด" จากนั้นมาผมก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นและกล้าพูดภาษาอังกฤษมากขึ้น จากที่เคยพูดเสียงเบาๆด้วยความกลัวว่าจะพูดผิด ก็เริ่มพูดเสียงดังขึ้น(เริ่มหน้าด้านมากขึ้น)

จนในที่สุดก็ทำให้ผมมั่นใจ จนกล้าที่จะเดินทางไปต่างประเทศเพียงลำพังคนเดียว(ก็การไปเรียนโยคะที่ประเทศมาเลเซียประมาณ 20วันเพียงคนเดียว)

 แม้ทุกวันนี้ผมจะไม่มีเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมเลย แต่ก็ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ผมต้องสอนโยคะบางคลาสที่มีชาวต่างชาติเข้าเรียนเป็นภาษาอังกฤษ และก็ต้องสื่อสารกับคุณซูซาน(เจ้าของสถาบันฟิต)ต้นสังกัดของผม เป็นภาษาอังกฤษทุกวัน บางวันคุยน้อย บางวันคุยนานหน่อยแล้วแต่วาระการคุย  ภาษาอังกฤษของผมถือว่ามีการพัฒนาขึ้นมาพอควรแต่ ผมก็ยังแอบหวังไว้เสมอว่าหากมีโอกาสผมจะหาเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษให้มันพัฒนาขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะสามารถทำได้

ก็ต้องขอขอบคุณพี่ซิงมากๆครับ สำหรับแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังมีความหวังในการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น และขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่สอนภาษาอังกฤษให้ผม รวมจนถึงขอขอบคุณชาวต่างชาติทุกท่านที่อดทนสนทนาภาษาอังกฤษกับผม และที่สำคัญที่สุดต้องขอขอบพระคุณชาวต่างชาติทุกท่านที่อดทนเข้าเรียนโยคะกับผม

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความหวังในการพัฒนาภาษาอังกฤษของผม จะยังคงอยู่กับผมตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

7 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีค่ะ ครู

    เอิ่ม เป็นเหมือนกันค่ะ

    ปรกติ ก็คิดว่าตัวเอง ฟัง พูด อ่าน เขียน แบบ ขอข้าว ขอน้ำกินได้แน่นอน

    แต่ วันนั้น เข้าคลาส ของ คนไม่คุ้นเคย

    รู้สึก ตัวเอง โง่ ไปถนัดใจ

    พยายามจะแอบมองคนข้างๆ ว่า เค้าทำอะไรกันบ้างอ่ะ

    เพราะเราฟังไม่ออกเลยนี้

    อ้าว คนข้างๆ ก็หันมาสบตากับเราแล้ว หัวเราะ กันแบบเขินๆ

    เลยตัดสินใจว่า เอาละ

    ไม่ใช่เรียนภาษาเพิ่มน่ะ

    แต่ ทำในสิ่งที่เราคุ้นเคย หรือมั่นใจ จะดีกว่า 555

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากๆเลยครับ ขอบุญรักษาทุกๆท่าน

    ตอบลบ
  3. มีความพยายาม ไม่ท้อและไม่ถอย น่ายกย่องคะ ครูจิมมิ่

    pui

    ตอบลบ
  4. ครูจิมมี่ เขียนหนังสือสนุก มีสาระ น่าสนใจ น่าติดตามมากๆค่ะ มีโอกาสน่าจะรวมเล่มนะคะ หรือว่ารวมเล่มไปแล้วหรือเปล่าอ่ะคะ

    ตอบลบ
  5. แนะครูจิมมี่ว่า

    -ใน youtube มีคลิปสอนวิธีออกเสียงอังกฤษเยอะมาก ลองนำมาศึกษาได้ + คลิปสอนโยคะเป็นภาษาอังกฤษด้วย

    -การพูดอังกฤษต้องมั่นใจว่าออกเสียงถูก ถ้าไม่มั่นใจให้เปิด dictionary เช็คตัวกำกับออกเสียง phonetics ก่อนนำไปพูด จะดีมาก + ทำสีหน้าขยับอวัยวะบนใบหน้า ให้เข้ากับเสียงพูดเพื่อสื่อให้คนฟังเข้าใจเรามากขึ้น

    - ฝึกภาษาเหมือนฝึกโยคะ แรกๆจะปวดไปหมดทั้งตัว กลางๆจะง่วงน่าเบื่อ แต่ตอนหลังจะลื่นไหลปรู๊ดปร๊าด ของยากก็จะกลายเป็นของง่าย

    - ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ทำใ้ห้รู้จักครูจิมมี่มากขึ้นครับ

    ตอบลบ
  6. สวัสดีค่ะครูจิมมี่
    จากการไปเรียนโยคะที่มีชาวต่างชาติมาเรียนด้วยแล้วครูสอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่เราก้อฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง
    บางทีกำลังก้มหน้าลงพื้นครูอธิบายเป็นภาษาอีงกฤษไปต่อไม่ถูก เลยอยากเก่งภาษาบ้างค่ะ อันนี้ปัญหากลับกันกีบครูจิมมี่ค่ะ พอได้เข้ามาอ่านแล้วเป็นแรงบันดาลใจค่ะ

    ตอบลบ
  7. สวัสดีค่ะครูจิมมี่
    จากการไปเรียนโยคะที่มีชาวต่างชาติมาเรียนด้วยแล้วครูสอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่เราก้อฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง
    บางทีกำลังก้มหน้าลงพื้นครูอธิบายเป็นภาษาอีงกฤษไปต่อไม่ถูก เลยอยากเก่งภาษาบ้างค่ะ อันนี้ปัญหากลับกันกีบครูจิมมี่ค่ะ พอได้เข้ามาอ่านแล้วเป็นแรงบันดาลใจค่ะ

    ตอบลบ

ความคิดเห็น ของคนในวงการโยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger