(ครูจิมมี่กับภาพของตนเอง ซึ่งเป็นฉากหลังบู๊ทของสถาบันฟิต)
ก็อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วครับว่าประเทศเราจะมีมหกรรมโยคะที่ใหญ่สุดของประเทศในช่วงปลายปีของทุกๆปี ปีนี้ก็ใช้ชื่องานว่า Thailand Yoga Festival 2010. ซึ่งก็ได้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่30-31ตุลาคม2553 ณ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเปร็บ ย่านทองหล่อ สุขุมวิท
งานนี้ผมก็มีส่วนร่วมคล้ายๆกับทุกๆปีที่ผ่านมา คือ ไปประจำบู๊ทของสถาบันฟิต และก็ไปช่วยโปรโมทส่งเสริมการขายเสื่อโยคะแมนดูกะที่ผมเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้เขาอยู่ หน้าที่ ที่ผมได้รับมอบหมายเพิ่มเติมสำหรับงานปีนี้ก็คือการได้รับเกียรติจากทางโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ให้เป็น 1ในทีมครู12ท่านที่นำสอนกิจกรรมไหว้พระอาทิตย์เพื่อการกุศลในวันเสาร์ที่30ต.ค.2553 ซึ่งเนื้อหาในส่วนของกิจกรรมการไหว้พระอาทิตย์108 เพื่อการกุศลนั้นผมได้กล่าวถึงไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้
สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปก็คงเป็นบรรยากาศทั่วๆไปของงานนี้ และกิจกรรมที่ผมได้มีส่วนร่วมในวันอาทิตย์ที่31ต.ค.2553, หากถามผมถึงบรรยากาศโดยรวมผมขอบอกตรงๆเลยว่ามันดูจะเงียบเหงากว่าปีที่แล้ว อันดับแรกดูจากจำนวนบู๊ทในงาน อันดับสองดูจากจำนวนผู้เข้าร่วมงาน วันแรกค่อนข้างเหงา วันที่สองบรรยากาศดีขึ้นเล็กน้อยเพราะจำนวนคนดูจะมากกว่าในวันแรก ผมก็ไม่ได้ต้องการทำประชาวิจารณ์แต่อย่างใดแต่ก็มีการแอบสอบถามผู้มาเข้าร่วมงานบางท่านว่ารู้สึกอย่างไร
-หลายๆคนยังบอกว่าราคาแพง(แต่สำหรับผมแล้ว ผมถือว่า ราคาที่ทางโยคะเจอร์น่อลได้กำหนดขึ้นนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลแล้วครับ)
-หลายๆคนบอกว่าครูที่มาสอนส่วนใหญ่จะเป็นครูคนเดิมที่สอนในปีก่อนๆ น่าจะมีครูโยคะระดับแนวหน้าของโลกใครก็ได้สักคนหนึ่ง(แบบดังมากๆ ชนิดที่ผู้ฝึกโยคะทุกคนในโลกรู้จัก อาทิเช่น จอห์น เฟรนด์, เดวิด สเวนสัน, ชีวา เรย์ เป็นต้น) มาเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดผู้ฝึกโยคะ ก็น่าจะดีไม่ใช่น้อย เมื่อทุกคนดูตัวใบโฆษณาประชาสัมพันธ์งาน ทั้งสีสันของใบปลิวและชื่อครูผู้สอนแล้ว ก็รู้สึกได้ทันทีถึงอะไรที่คล้ายๆเดิม อันนี้คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนที่เคยเข้าร่วมงานนี้อาจจะลังเลใจ
-หลายๆคนบ่นว่าปีนี้ไม่มีอาหารกลางวันเลี้ยงอย่างเช่นทุกๆปีที่ผ่านมา จึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าราคาที่กำหนดมานี้แพงมาก (แต่สำหรับผมแล้ว ทุกๆครั้งที่ผมต้องไปเข้าอบรมหรือสัมนาโยคะระดับนานาชาติ ไม่มีงานไหนเลยที่เลี้ยงอาหารกลางวัน ผู้เข้าร่วมอบรมต้องออกไปหาทานเอง) แต่เนื่องจากว่าของมันเคยมีในปีแรกๆมาถึงตอนนี้ดันไม่มี มันก็เลยกลายเป็นประเด็นขึ้นมาล่ะครับ
นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องอื่นๆอีก เช่น สถานที่, บู๊ทในงานน้อยไม่ค่อยคึกคัก, รวมไปจนถึงการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ซึ่งผมก็พอจะทราบข้อมูลวงในมาคร่าวๆว่าในปีหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ในการจัดกิจกรรมและปรับรูปแบบบางอย่าง ก็คิดว่าน่าจะมีอะไรหลายๆอย่างที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนในปีหน้า โยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ สู้ๆ
สำหรับส่วนร่วมของผมในงาน Thailand Yoga Festival 2010. ส่วนของวันอาทิตย์ที่31ต.ค.2553ก็คือ ผมรีบตื่นมาแต่เช้าเพื่อมาเข้าคลาส อัษฎางคโยคะ ไพรมารี่ ซีรี่ ของครูเคน ฮารากูม่า เนื่องจากผมไม่ได้ฝึกไพรมารี่ซีรี่มานานเป็นปีแล้วเลยอยากเคาะสนิมครับ ปรากฏว่าสนิมเย๊อะกว่าที่คิดเคาะไม่ค่อยออก ช่วงแรกๆจั๊มอย่างกับมีคนจับอุ้มประครองมาวางจนคนข้างๆมองด้วยความทึ่ง ช่วงหลังๆจั๊มไม่ค่อยไหวยืนระยะไม่ไหว(หมดสภาพ คนข้างๆมองอย่างเวทนา) คงเป็นเพราะอ่อนซ้อม ก็รับแต่งานสอนจนไม่มีเวลาฝึกฝนตนเองก็เป็นอย่างนี้แหล่ะครับ
(ครูจิมมี่ถ่ายภาพคู่กับคุณน้ำผึ้งณัฐริกา)
(ครูคอร่า เวน สอนเทคนิคBack bend ให้ครูจิมมี่)
(ครูจิมมี่สาธิตท่านาฏราชาสนะ, โปรดสังเกตกองเชียร์ ช่องหน้าต่างด้านบน)
(นักเรียนของผมได้รับรางวัลจากโยคะโอม)
(คุณวนิดา, โยคะโอม มอบของที่ระลึกให้ครูจิมมี่)
พอช่วงเย็นหลังจากที่จบงาน Thailand Yoga Festival 2010. ผมเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเกียรติเชิญไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับทีมงานและครูผู้สอนของกิจกรรมครั้งนี้(พูดง่ายๆก็คือ งานเลี้ยงโยคีดีๆนี่เองล่ะครับ) เนื่องจากครูลีฟ เพาเวล ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเดินทางในกรุงเทพสักเท่าไหร่นัก ผมจึงทำหน้าที่พาครูลีฟ เพาเวลไปยังร้านอาหารที่ทางฝ่ายจัดงานได้นัดพวกเราไว้ ระหว่างที่จะขึ้นรถไฟฟ้าก็ได้เจอกับครูราเชล วิลสัน(มาสอนงานนี้แทน เบรท ชอรว์, โยคะฟิต) เธอมากับคู่มั่นสุดหล่อของเธอล่ะครับ เราจึงร่วมเดินทางไปด้วยกันโดยมีผมเป็นผู้นำทาง ก็ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานมากนัก แค่สถานีรถไฟฟ้าเดียวเท่านั้นเอง อาหารก็เป็นมังสวิรัติทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่ดูจะขัดๆกับคอนเซฟ ก็คือไวน์ ซึ่งเขาดื่มกันเกือบทั้งนั้น ยกเว้นผู้ที่เป็นชาวไทยและอินเดียที่ไม่ดื่ม(ผมก็ไม่ดื่มครับ) ฮาสุดๆก็คือ ในช่วงที่จะต้องแยกย้ายสลายตัวกันกลับ ไวน์ที่ทางเจ้าภาพได้เตรียมไว้2ขวด มันดันเหลืออยู่มากกว่าครึ่งขวด จึงทำให้ ครูคอร่า เวน ขอจุกก๊อกกลับมาปิดขวดเพื่อนำกับไปดื่มต่อที่โรงแรม แต่เด็กเสิร์ฟดันบอกว่าได้ทิ้งจุกก๊อกไปแล้ว ผมจึงบอกให้เด็กเสิร์ฟนำถุงพลาสติกมาปิดปากขวดแล้วใช้ยางลัดไว้ จากนั้นครูคอร่า เวนก็จับขวดไวน์ยัดใส่กระเป๋าสะพายของเธอ แต่กระเป๋าของครูคอร่า เวนดูมันจะเล็กไปสักหน่อยจึงทำให้คอขวดและปากขวดไวน์ จำต้องโผล่ออกมาจากกระเป๋า พรีเซนต์ให้เห็นถึงปากขวดที่ห่อหุ้มด้วยพลาสติกและมียางลัดไว้อย่างแน่นหนา(ประมาณว่าไวน์ไม่มีโอกาสที่จะหกได้นอกเสียจากขวดจะแตกเท่านั้น) จนเป็นเป้าสายตาให้คนอื่นๆเห็นและพูดแซวกันอย่างสนุกสนาน(ฮากระจาย)
(ภาพหมู่ ครูจิมมี่ไม่ใช่เจ้าภาพแต่ไปอยู่หัวโต๊ะ ซะงั้น)
(ครูประสาท, ครูจิมมี่และครูคอร่า)
ขอมิตรภาพอันดีงามจงอยู่คู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไป
รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ
นมัสเต,
จิมมี่โยคะ
สวัสดีค่า ครู
ตอบลบไปมาเหมือนกัน ทั้ง 2 วันค่ะ
แต่ ช้าแต่ มิได้ ไปร่วมงานแต่อย่างใด
ไปเฝ้ารอ ขอถ่ายรูป กับ "คนในรูป" ต่างหาก อิอิ
เห็นด้วย กับข้อที่ว่า บูธมาเปิดน้อย คนก็ไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควร
ส่วนข้อที่ว่า น่าจะเชิญ John Friend มา
อุ๊ย ตาย ว๊าย กรี๊ดดดดดดดดดดดดด สลบไปแปดรอบ
ขอให้เป็นจริงที่เถอะ 555
ส่วนครู cora wen รู้แต่ว่า เพื่อนที่ไป ประทับใจ เธอมากกกกกกกกก
บอกว่า She is so nice and so friendly อ่ะ
ดังนั้น จะรอ workshop กับ ครู cora ที่ Fit Studio น่ะค่ะ
บุญรักษาค่า
ปอลิ่ง เอาเทคนิค มาสอน member บ้างน่ะค่ะ อิอิ