เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

เมื่อครูโยคะ...ต้องเป็นหนี้อ๊อกซิเจน



เมื่อครูโยคะ...ต้องเป็นหนี้อ๊อกซิเจน
 
หลายท่านคงสงสัยว่า การเป็นหนี้อ๊อกซิเจนนั้นมันเป็นเช่นไรกันหนอ? เพราะช่วงนี้คงจะคุ้นเคยกับคำว่า เป็นหนี้เงินกู้นอกระบบ, เป็นหนี้บัตรเดรบิต-เครดิต, เป็นหนี้ธนาคาร ฯลฯ แล้วไอ้เรื่องที่จะกล่าวถึง ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไปซื้ออ๊อกซิเจนเขาแล้วไม่มีเงินจ่าย ผมต้องขออธิบายกันยาวนิดหนึ่งเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเป็นหนี้อ๊อกซิเจนนั้นมักจะเกิดขึ้นกับนักกีฬา ที่มีสภาวะความต้องการอ๊อกซิเจนในปริมาณมากๆ ในขณะที่ออกกำลังกายอย่างหนัก ซึ่งเกิดขึ้นกับผมเป็นประจำในขณะที่ฝึกซ้อมวิ่ง(สมัยที่ผมเป็นนักกรีฑาของมหาวิทยาลัย)

อธิบายเกี่ยวกับการเป็นหนี้อ๊อกซิเจนได้ดังนี้คือ เมื่อเราออกกำลังกายในช่วงแอโรบิค คือช่วงที่เราหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปใช้อย่างเพียงพอเพื่อสร้างพลังงาน ในช่วงนี้ร่างกายเราจะสามารถกำจัดกรดแลคติกได้ทัน (กับที่ถูกผลิตขึ้นมา) (กรดแลกติกเกิดเมื่อมีการออกกำลังกาย เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการสร้างพลังงานของร่างกาย) เมื่อเราออกกำลังหนักขึ้นๆ จนถึงระดับหนึ่ง เราจะ"เริ่ม"หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปสร้างพลังงานไม่เพียง (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Lactate threshold ) เป็นจุดที่อยู่ระหว่างหอบพอพูดได้กับหอบจนพูดไม่ออก ถ้ายังไม่เลยขึ้นไป ร่างกายยังพอกำจัดกรดแลกติกได้ทัน แต่ถือว่าเป็นจุดที่ปริ่มขอบแล้ว เมื่อยังออกกำลังหนักขึ้นไปอีก เราจะเข้าสู่ช่วงแอนแอโรบิค คือช่วงที่เราหายใจเอาออกซิเจนไปช่วยสร้างพลังงานไม่เพียงพอ (หอบจนพูไม่ได้) ร่างกายเราจึงต้องสร้างพลังงานจากกระบวนการอื่นๆ ซึ่งเราจะเริ่มกำจัดกรดแลกติกไม่ทัน (เริ่มเป็นหนี้ออกซิเจน) เมื่อกรดแลกติกสะสมมากเข้า เราจะรู้สึกล้ามากๆ จนไม่สามารถก้าวขาได้ดังใจอีก ถูกร่างกายบังคับให้วิ่งช้าลง จนเราได้ออกซิเจนพอ เราก็อาจสามารถไปต่อได้อีก (ก๊อก 2)

ผมไม่คาดคิดว่า สภาวะการเป็นหนี้อ๊อกซิเจน จะมาเกิดขึ้นกับผมอีก เพราะผม ล้างลาห่างหายจากการฝึกซ้อมกีฬามานานพอสมควร
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับผมในช่วงที่ ผมเริ่มมีงานสอนโยคะเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนบางวันต้องสอนถึงวันละ 7-8 รอบ ในวันเกิดเหตุนั้นช่วงเวลาประมาณ18.00น. ผมต้องทำเวลาไปสอนในรอบต่อไป จากพญาไท ไปที่สุขุมวิท33(สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์)ให้ทันสอนตอนเวลา18.30น. จึงต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีพญาไทให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้ไปสอนให้ทันเวลา ความซวยเริ่มบังเกิด คือ ฝนดันตกในระดับปานกลางไม่ถึงกับหนักมาก อย่างไรผมก็ต้องลุยฝนไป(ด้วยจรรยาบรรณของผมที่ว่า ต้องไปสอนให้ตรงเวลาไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม) ดีที่ช่วงเวลานั้นผมจะมีอุปกรณ์กันฝนคือเสื้อแจ็คเก็ตกันฝนติดตัวเสมอในช่วงฤดูฝน ผมจึงสวมแจ็คเก็ตกันฝนตัวใหญ่คลุมกระเป๋าเป้ที่สะพายหลังรวมจนถึงถุงที่ใส่ Matโยคะ โดยมี Hoodของเสื้อกันฝนคลุมศรีษะไว้ตลอดเวลา แล้วเมื่ออุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมผมก็วิ่งไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีพญาไท พอวิ่งผ่านเข้าไปจนถึงบนชานชลา รถไฟฟ้าที่กำลังจะมุ่งหน้าไปสถานีปลายทางอ่อนนุช ก็จอดรออยู่แล้ว ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปในขบวนรถอย่างไม่ลังเลใจ เพื่อให้ทันเวลาก่อนที่ประตูรถไฟฟ้าจะปิด เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาหลังเลิกงานจึงมีคนใช้บริการรถไฟฟ้าค่อนข้างหนาแน่น ผมจึงต้องยืนเบียดกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ผมยังคงรู้สึกเหนื่อยจากการวิ่งมาอย่างเร่งรีบ แต่ก็ต้องสะกดอาการหืดหอบไว้พอควรเพราะเกรงใจผู้โดยสารท่านอื่นๆที่แวดล้อมอยู่ หลังจากที่รถไฟฟ้าปิดประตูได้เพียงไม่กี่วินาที ผมก็เริ่มรู้สึกว่าวันนี้รถไฟฟ้าโยกเยกมากกว่าปกติ ตาของผมก็ค่อยๆเริ่มพร่ามัวแบบที่พอจะเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าไม่ดีแน่แล้วเรา ผมมารู้สึกตัวอีกทีลืมตาขึ้นมา ก็พบว่ามีคนหลายคนยืนตีวงล้อมรอบตัวผมอยู่ด้วยความสนใจ ขณะนั้นสายตาเกือบทุกคู่ในขบวนรถไฟฟ้าก็มองมาที่ผมคนเดียวเลยครับ(เด่นมาก) เป็นลมล้มลงไปทั้งๆที่ยังสวมเสื้อกันฝนและมีสัมภาระสะพายอยู่อีกจำนวนหนึ่ง(รู้สึกอับอายมากที่สุดในตอนนั้น) มีพลเมืองดีหลายท่านรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของรถไฟฟ้ามาช่วยดูแลและประครองผมขึ้นมานั่ง ผมต้องการที่นั่งเพียงที่เดียวเท่านั้น แต่มีคนถึงสามคนแย่งกันสละที่นั่งให้ผม และก็อีกแหล่ะครับมีคนใจดีหลายคนต่างเดินเข้ามาหาผมพร้อมยื่นยาดม ยาหม่อง ให้ผมรวมแล้วได้มา 3ชิ้นครับ(คนไทยมีน้ำใจที่สุดในโลก) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากหลังจากที่ผมนั่งลงเพียงอึดใจเดียวรถก็จอดที่สถานีสยาม(สายตาหลายต่อหลายคู่ในขบวนรถก็ยังเฝ้ามองมาที่ผมอยู่เป็นระยะๆ คล้ายๆจะบอกให้รู้ว่าเขายังเป็นห่วงผมอยู่น๊ะ และจะเป็นกำลังใจให้ตลอดไป) พอไปถึงสถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ผมก็มุ่งหน้าไปสอนตามปกติ โดยมาถึงก่อนเวลาสอนเพียงไม่กี่นาที การสอนก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น แต่ผมรู้สึกมีอาการเจ็บปากเล็กน้อย เหมือนปากแตก คงเป็นตอนที่ผมเป็นลมล้มลงไปบนรถไฟฟ้า ใบหน้าบริเวณปากอาจจะกระแทกพื้น(อาจส่งผลกระทบถึงสติสตางค์ของผมมาจนถึงทุกวันนี้)

จากเหตุการณ์นี้สรุปได้ด้วยตัวของผมเองว่า ผมเป็นหนี้อ๊อกซิเจน เนื่องจากวิ่งอย่างรีบเร่ง แถมยังสวมHoodกันฝน จึงทำให้อากาศไม่เพียงพอ ร่างกายผมจึงหยุดทำงานเพื่อรวบรวมอ๊อกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้เป็นปกติอีกครั้ง

ประสบการณ์ครั้งนี้ สอนให้ผมรู้ว่าอย่าเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองมากจนเกินไป(ไม่เจียมสังขารเอาซะเลย) จะทำอะไรก็ควรจะประมาณตนให้ดี มีรุ่นพี่หลายๆคนก็พูดเชิงหยอกล้อกับผมเสมอว่า "ระวังให้ดีนะสอนมากเกินไปใช้ร่างกายมากเกินไปเดี๋ยวเงินทองที่หามาได้จะไม่พอกับค่ารักษาพยาบาลตัวเองตอนป่วยไข้" จากนั้นผมตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิตได้อย่างไม่ยากนัก เดชะบุญที่ในวันนั้นผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมจึงหันมาดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้น ด้วยการพยายามพักผ่อนให้เพียงพอและไม่โหมรับงานสอนจนมากเกินไป และขอฝากเป็นข้อคิดสะกิดใจสำหรับผู้ที่แวะเข้ามาอ่านบทความในบล็อกของผม

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพลังแห่งการสอนโยคะจะยังคงอยู่กับผมตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ 

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ


(ข้อมูล การเป็นหนี้อ๊อกซิเจน จาก patrunning.com)

1 ความคิดเห็น:

  1. ของครูจิมมี่ปากกระเเทก แต่ของศิเป็นลมแล้วกัดกระพุ้งแก้มตัวเองแหว่งเลย เหตุเกิดในรถไฟฟ้าใต้ติด

    ตอบลบ

ความคิดเห็น ของคนในวงการโยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger