เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ครูจิมมี่ ได้รับเกียรติสัมภาษณ์ลงเว็บไซต์ Yoga Journal Thailand.


ครูจิมมี่  ได้รับเกียรติสัมภาษณ์ลงเว็บไซต์ Yoga Journal Thailand.

หากทุกๆท่านได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ www.yogajournalthailand.com ในหัวข้อ People (YOGA Guru) ก็จะได้พบกับบทสัมภาษณ์ของครูจิมมี่ ซึ่งได้รับเกียรติจากทางนิตยสารโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์สัมภาษณ์และนำไปลงเผยแพร่ ต่อสารธารณชนในวงการโยคะ ซึ่งมีเนื้อหาใจความดังต่อไปนี้ครับ

YOGA GURU  
ยุทธนา พลเจริญ


ครูจิมมี่ – ยุทธนา พลเจริญ เป็นที่รู้จักทั้งในฐานะครูสอนโยคะและ Yoga Course Director ของ FIT จากประสบการณ์และการคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงโยคะ ครูจิมมี่จึงเป็นที่รู้จักและชื่นชมจากนักเรียนมากมาย


ผมเริ่มต้นรู้จักกับโยคะครั้งแรกแบบผิวเผิน โดยได้เห็นการฝึกโยคะขั้นสูงในรายการโทรทัศน์แบบบังเอิญเมื่อประมาณ 20กว่า ปีที่แล้ว ภาพที่เห็นคือชายชาวอินเดีย (โยคี) รูปร่างผอมหนังหุ้มกระดูกกำลังดัดตัวด้วยท่าพิสดาร รู้สึกว่าแปลกดีแต่ก็ดูน่าสนใจมากๆ ผู้ดำเนินรายการบอกว่านั่นคือโยคะ และบรรยายถึงประโยชน์ต่างๆ นานาของการฝึกโยคะ จนทำให้เราอยากจะลองบ้าง หลังจากนั้นก็เริ่มมีการหาหนังสือโยคะมาอ่าน เพื่อหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝึกโยคะ
การเป็นครูสอนโยคะของผมเริ่มต้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2542 ผม เพิ่งจบปริญญาตรีทางด้านพลศึกษาและได้ทำงานเป็นครูฝึกในฟิตเนส หน้าที่หลักคือคอยดูแลการออกกำลังกายให้กับสมาชิก ดูความเรียบร้อยของห้องออกกำลังกาย ทำความสะอาดเครื่องออกกำลังกาย และอี่นๆอีกมากมายที่เราจะสามารถทำได้ในฟิตเนส รวมถึงสิ่งที่ครูฝึกทุกคนต้องทำคือสอนเต้นแอโรบิกสัปดาห์ละสองคลาส สำหรับมนุษย์ไร้จังหวะอย่างผมการสอนแอโรบิกกลายเป็นความกดดันเพราะฝีนใจทำ สุดท้ายผมจึงต้องหาหนทางดับทุกข์และหลีกหนี ผมได้พบโยคะในวันหนึ่งที่ฟิตเนสเชิญครูโยคะจากข้างนอกมาสอน ผมทดลองเข้าเรียนและได้พบว่านี่คือสิ่งที่ใช่สำหรับเรา ผมฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์จุลวัฒน์ จุลสุคนธ์ ( ครูวัฒน์ ) และเริ่มฝึกหะฐะโยคะกับครูวัฒน์จนเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้น หลังจากนั้นจึงขออนุญาตทางฟิตเนสสอนแอโรบิกควบไปกับการสอนโยคะ ก่อนจะได้เริ่มต้นสอนโยคะจริงจังเพียงอย่างเดียวขึ้นโดยมีครูวัฒน์คอยให้คำ แนะนำที่ดี จนที่สุดผมก็ได้เริ่มรับงานสอนโยคะในขั้นพื้นฐานด้วย
สิ่งที่ผมได้รับจากการสอนโยคะคือ..ความสุขใจ ทุก ครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุข ของผู้ที่ตั้งใจเข้ามาฝึกโยคะกับผมแล้ว หัวใจมันพองโต ผมคิดเสมอว่างานสอนโยคะเป็นงานที่เหมาะกับเรามากที่สุดแล้ว รวมทั้งสามารถอยู่กับเราได้ทุกๆวันโดยที่เราไม่มีเบื่อ สำหรับตัวเองแล้วเป้าหมายในวันนี้ของผมคือความพยายามรับผิดชอบหน้าที่การสอน ให้ดีที่สุด พัฒนาตนเองด้วยการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องของโยคะอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงพัฒนาการสอนของตนเองให้สมกับที่ผู้ฝึกโยคะหลายๆ ท่าน ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ อนาคตผมตั้งใจเอาไว้ว่าหากมีโอกาสก็อยากตอบแทนสังคมด้วยการจัดกิจกรรมเกี่ยว กับโยคะเพื่อการกุศลตามแต่วาระด้วย

ครูจิมมี่จะมาสอนในงาน D&P presents Thailand Yoga Festival 2011 ปลายปีนี้ ในวันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2554 ใครเป็นแฟนครูท่านนี้ ห้ามพลาด!
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงจะได้พบกันใน มหกรรมโยคะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีของเมืองไทย Thailand Yoga Festival 2011  นะครับ 

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไปเทอญ...

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ขอขอบพระคุณ นิตยสารโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์
http://www.yogajournalthailand.com/main/?name=people&file=readpeople&id=12
 

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โอม(AUM)... เสียงที่แฝงไว้ซึ่งสัจธรรม และการตระหนักรู้อย่างมีสติ


โอม(AUM)... เสียงที่แฝงไว้ซึ่งสัจธรรม และการตระหนักรู้อย่างมีสติ.

ในคลาสโยคะหลายๆคลาส เวลาเริ่มคลาสและจบคลาสมักมีการสวดมนต์หรือเปล่งเสียงคำว่า"โอม" พวกเราทราบกันหรือไม่ว่า คำๆนี้ มีความหมายอะไรแอบแฝงอยู่ และเราได้อะไรบ้างจากการสวดมนต์หรือเปล่งเสียงคำว่า"โอม"

ซึ่งตอนที่ผมเริ่มฝึกโยคะใหม่ๆ ก็รู้สึก.ฉงน?.กับการสวดมนต์หรือเปล่งเสียงคำว่า"โอม" (ก็คงเป็นความรู้สึกไม่ต่างจากทุกๆคนที่เพิ่งจะเริ่มฝึกโยคะใหม่ๆ) สิ่งที่รู้สึก ณ ตอนนั้นก็คือ การฝึกโยคะนี่จะนำเราเข้าไปสู่ลัทธิความเชื่ออะไรหรือเปล่าเอ่ย? จากนั้นผมก็ค่อยๆเริ่มศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล เกี่ยวกับที่มาที่ไปของคำว่า"โอม"

เนื่องจากโยคะได้ถือกำเนิดขึ้นมา ตามอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ในบทสวดมนต์ของเทพทุกองค์ในศาสนาพราหมณ์ จะขึ้นต้นด้วยคำว่า "โอม..."
และในรูปวาดมหาเทพเกือบทุกรูป จะปรากฏเครื่องหมาย "โอม" อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งในภาพ ซึ่งคำว่า โอม นี้เป็นหัวใจหลักของศาสนาเลยทีเดียว!!

โอม...เป็นพยางค์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำที่ถูกเอ่ยถี่ที่สุด ในการสวดมนต์ทุกบทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

คำว่า โอม มีลักษณะดังที่เห็นในรูป สังเกตุได้จากลักษณะเด่น คือ
- มีเครื่องหมายคล้ายเลข 3 นำหน้า
- มีเครื่องหมายคล้าย ง. งู ต่อท้าย
- มีถ้วยและหยดน้ำ (เครื่องหมายจุดพินทุ) อยู่ด้านบน
(นอกจากโอมแบบมาตรฐานนี้แล้ว ยังมีอีกหลายลักษณะ ตามแต่ละท้องถิ่นและภาษาของอินเดีย)

อักขระ โอม(AUM) เกิดจากการเรียกพระนามของพระตรีมูรติทั้ง 3 รวมกันเป็นคำเดียว ซึ่งแยกได้ดังนี้
อะ (A) - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระศิวะ (อะ) เรามักออกเสียงกันเป็น อา..า..า
อุ (U) - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระวิษณุ (อุ) เรามักออกเสียงกันเป็น อู..
มะ (M) - มาจากเสียงสุดท้ายของคำว่า พระพรหมมะ (มะ) เรามักออกเสียงเป็น อืม..ม..ม  และปิดปากจนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในกระโหลกศรีษะ

อะ อุ มะ....หรือ อา..า..า...อู..ว..ว..อืม..ม..ม.. เมื่ออ่านออกเสียงให้ต่อเนื่องกัน จึงเกิดเป็นคำว่า "โอม" หมายถึงการเรียกขานพระนามของ 3 มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในหนังสือบางเล่ม จะสลับความหมายไปมา บ้างก็ว่า อะ คือพระวิษณุ บ้างก็ว่า มะ คือพระศิวะ สลับไป สลับมา แต่ละเล่มก็เลยเขียนไม่เหมือนกันเลย ขอผู้อ่านได้โปรดจำให้ขึ้นใจ จะได้ไม่สับสนนะครับ 

พระพรหมมะ คือตัวแทนแห่งการ สรรสร้างสรรพสิ่งต่างๆ ดังนั้นเราจึงยกย่องท่านว่าเป็น พระผู้สร้าง(เกิดขึ้น)

พระวิษณุ คือตัวแทนแห่งการ ซ่อมแซม ฟื้นฟู ทนุบำรุง ดูแลรักษา  ดังนั้นเราจึงยกย่องท่านว่าเป็น พระผู้บำรุงรักษา(ตั้งอยู่)

พระศิวะ คือเทพเจ้าตัวแทนแห่งการ ทำรายล้าง เพื่อจัดการทุกสรรพสิ่งให้ดีขึ้น ดังนั้นเราจึงยกย่องท่านว่าเป็น พระผู้ทำรายล้าง(ดับไป)

ดังนั้น รวมแล้ว คำว่า"โอม" จึงมีความหมายซ่อนเล้น นัยะสัจธรรมของชีวิต ปริศนาธรรม ถึงการ...เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป...

เป็นเครื่องเตือนสติ, เตือนใจให้พวกเราได้ตระหนักรู้และฉุกคิดว่า ชีวิตของพวกเราทุกๆคนก็มีวัฏจักรเพียงเท่านี้ และชีวิตเราก็ไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเราทุกๆคนจึงควรตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม จรรยาบรรณ อันดีงาม ประกอบกุศลกรรม ทำในเรื่องที่ดี ช่วยเหลือเมตตาเพื่อนร่วมโลกตามแต่กำลังและโอกาส

ส่วนในเรื่องประโยชน์ของการสวดมนต์หรือเปล่งเสียงคำว่า"โอม" จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม ผมคิดว่า
1. ช่วยกระตุ้นระบบการหายใจ สังเกตจากการที่เราจะต้องหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนทุกครั้งที่จะเปล่งเสียง"โอม"ออกมา หลังจากนั้นก็ลากเสียงโอมยาวๆอย่างต่อเนื่อง จนแทบจะหมดลมหายใจ จึงสิ้นสุดการเปล่งเสียงโอม(ใจจะขาด)
2. ช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง การทำงานของสมอง ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว มีสติ สังเกตจากตอนช่วงท้ายของการเปล่งเสียง"โอม" ตรงช่วงที่ออกเสียงอืม..ม..ม และปิดปาก เราจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในร่างกายรวมจนถึงภายในกระโหลกศรีษะของเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้ถึงความมีสติ ความสงบสุข และความตื่นตัว
3. ช่วยทำให้เรามีสมาธิขั้นเบื้องต้น-จิตจดจ่อ เมื่อเราต้องเปล่งเสียง"โอม" จิตของเราจะลืมคิดถึงเรื่องราวต่างๆ และสิ่งต่างๆไปชั่วขณะที่เราได้เปล่งคำนี้ เป็นพื้นฐานของการทำให้เราจดจ่อและเกิดสมาธิขั้นเบื้องต้น ดังนั้นการเปล่งเสียง"โอม" ก่อนที่เราจะเริ่มฝึกโยคะถือว่าเป็นการสนับสนุนให้ผู้ฝึกมีสมาธิในการฝึกที่ดีขึ้นด้วย

และนี่ก็คือ เรื่องราวที่มาที่ไป ของการสวดมนต์หรือเปล่งเสียง"โอม" ในคลาสโยคะบางคลาส ที่พวกเรามักพบเจอ...หวังว่าข้อมูลดังกล่าวคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ฝึกโยคะทุกๆท่าน(อย่างน้อยก็น่าจะหายสงสัยไปได้บ้างล่ะครับ)

ขอพลังแห่งโยคะ, เสียงโอม(AUM)... เสียงแห่งสัจธรรม และการตระหนักรู้อย่างมีสติ จงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไปเทอญ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ


ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลจาก
http://www.siamganesh.com/ganeshaum.html
โดย : กอง บก. สยามคเณศดอทคอม Siamganesh.com

ตบะ(Tapas)ไฟแห่งความเพียรพยายาม...กับความมุ่งมั่นของเพื่อนผมที่ชื่อคเชน


ตบะ(Tapas)ไฟแห่งความเพียรพยายาม...กับความมุ่งมั่นของเพื่อนผมที่ชื่อคเชน

ในคลาสครูฝึกโยคะที่ผมรับผิดชอบสอนที่สถาบันฟิต ในเวลาที่ผมต้องบรรยายเรื่องหัวใจแห่งโยคะ/มรรค8แห่งโยคะ(8 limbs of yoga) หากหลายๆท่านที่ติดตามบล็อกของผม คงจะเคยได้อ่านผ่านตามาบ้างแล้วในเรื่องหัวใจแห่งโยคะ ที่ผมได้นำเนื้อหาที่ได้จัดทำขึ้นโดยสถาบันโยคะวิชาการมาเผยแพร่ คงจะทราบองค์ประกอบทั้ง8ก็คือ 1.ยมะ, 2.นิยมะ, 3.อาสนะ, 4.ปราณยามะ, 5.ปรัทยาหาระ, 6.ธารณา, 7.ธิยานะ, 8.สมาธิ

ยมะ จะมีองค์ประกอบย่อยอีก5ข้อ เช่นเดียวกับ นิยมะ  หนึ่งใน5ข้อย่อยของนิยมะ คือ ตบะ(Tapas) พอต้องสอนและขยายความหัวข้อนี้ ผมก็ต้องแปลความหมายของคำนี้ให้ทุกๆคนทราบ และก็ขยายความเล็กน้อยถึงปานกลางเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 

ตบะ (Tapas)แปลว่า ทำให้ร้อน หมายความรวมตั้งแต่ การเผา ลน ย่าง ต้ม ปิ้ง อบ ฯลฯ

บำเพ็ญตบะ จึงหมายถึง การทำความเพียรเผาผลาญกิเลสทุกชนิดให้ร้อน ทนเกาะอยู่ไม่ได้

พอขยายความมาถึงตรงนี้...เรื่องที่มักจะแวบเข้ามาในหัวของผมเสมอๆ ก็คือเรื่องราวของเพื่อนผมคนหนึ่ง ที่น่าจะพอนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องของตบะ รวมจนถึงเรื่องของความอดทน ความเพียรพยายามและความมุ่งมั่นตั้งใจ ได้อย่างลงตัวมากๆ

เรื่องนี้ต้องย้อนไปถึงสมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย ณ โรงเรียนประจำจังหวัดสุพรรณบุรี(ก็เพิ่งจะผ่านมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เองครับ.555.) ตอนนั้นความใฝ่ฝัน ของนักเรียน ม.ปลาย สายวิทย์ ต่างจังหวัดบางส่วน รวมจนถึงผมด้วยก็คือการสอบคัดเลือกเข้าไปเป็นนักเรียนเตรียมทหาร(นักเรียนนายร้อย) ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นพวกเราจะมีโอกาสได้สอบ 2ปี(ปีละครั้ง) คือเวลาที่เราอยู่ชั้นม.4 และม.5 หากพลาดจากนั้นก็คือหมดสิทธิ์ล่ะครับ ซึ่งในแต่ละปีก็จะต้องมีนักเรียนจากโรงเรียนของเราสอบคัดเลือกผ่านเข้าไป จนได้ไปเป็นนักเรียนเตรียมทหารปีละ1-3คน

ผมและเพื่อนๆก็มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมเช่นกัน(ถึงแม้นว่าการเรียนจะไม่ค่อยได้เรื่องก็ตาม) โดยเฉพาะเพื่อนของผมที่ชื่อ คเชน (คเชน เป็นเพื่อนที่ค่อนข้างจะสนิทกับผมคนหนึ่ง)เขาค่อนข้างจะมุ่งมั่นตั้งใจเป็นอย่างมากกับการสอบเตรียมทหาร  ว่าแล้วก็คงต้องขอกล่าวถึงเพื่อนสนิทของผมคนนี้สักนิดหนึ่ง คเชน เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตา บุคลิกดี(หน้าตา เขาหล่อแบบไทยๆ สไตล์ สรพงษ์ ชาตรี ประมาณนั้น)สูงประมาณ173ซ.ม. ร่างกายแข็งแรงแบบนักกีฬา ชอบเดินตัวแข็งๆ อย่างที่ทหารเขาเดินกัน, คเชน มีน้ำเสียงไพเราะ  จนทำให้ได้รับคัดเลือกไปนำสวดมนต์หน้าเสาธงตอนเช้าก่อนเข้าเรียน ต่อหน้านักเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดเป็นพันๆคน และได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนเพื่อเข้าประกวดการกล่าวสุนทรพจน์ จนเขาได้รับรางวัลระดับประเทศ  ผมกับคเชนเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนในตำแหน่งมิดฟิลด์แดนกลาง เช่นเดียวกัน จึงทำให้เราค่อนข้างสนิทกันพอสมควร

และแล้ว เมื่อเวลา2ปีผ่านไป ผมและเพื่อนๆห้องเดียวกันก็ไม่มีใครที่สอบติดเลย มีแต่เพื่อนห้องอื่นที่สอบผ่านจนได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร  และเมื่อเวลาผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าความใฝ่ฝันนี้สำหรับผมและเพื่อนหลายๆคนก็ค่อยๆจืดจางหายไป จนพวกเราลืมคิดถึงมันไปแล้ว แต่สำหรับเพื่อนที่ชื่อคเชนเขายังคงมุ่งมั่นและหาหนทางที่จะเข้าไปเป็นนักเรียนเตรียมทหารให้ได้(เขาอยากเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจมากๆ) ผมและเพื่อนๆหลายคนหันไปมุ่งมั่นที่จะสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ใฝ่ฝัน ส่วนเพื่อนที่ชื่อคเชน เขาคิดว่าจะไปเรียนม.รามฯและสมัครสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจ

เพื่อนๆหลายคนจึงแอบคิดขำๆว่า...อ้อใช่สิ..มันไม่ได้เป็นนายร้อย ขอเป็นพลตำรวจก็ยังดีใช่ไหม? คเชน จึงบอกกับเพื่อนๆทุกคนว่า ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีความเชื่อถือได้ บอกมาว่าผู้ที่มีคะแนนการเรียนดีที่สุดของนักเรียนพลตำรวจจะได้รับพิจารณาให้เข้าไปสอบคัดเลือกเป็นนักเรียนเตรียมทหาร..เพื่อไปสู่การเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ  คเชนจึงจะเข้าไปเป็นนักเรียนพลตำรวจและทำคะแนนให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้รับโอกาสในการเข้าสอบเตรียมทหารอีกครั้ง ทุกคนจึงลงความเห็นตรงกันว่าไอ้นี่มันบ้ายศ บ้าเครื่องแบบ เข้าขั้นเลยล่ะ  แต่ในใจลึกๆของเพื่อนๆทุกคน ก็อยากให้คเชนสมหวังเพราะเขาหวังและตั้งใจเอาไว้อย่างมากมาย แน่นอนครับ การที่เราหวังอะไรไว้อย่างมากมาย ในยามที่มันไม่สมหวัง ผิดหวัง มันก็จะต้องเจ็บปวดอย่างมากมายเช่นกัน

พอพวกเราจบม.6 เพื่อนหลายๆคนก็สอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยได้(รวมถึงผมด้วย) บางคนที่สอบเอ็นทรานซ์ไม่ติดก็ไปเรียนม.รามฯกับคเชน ส่วนเพื่อนที่ทางบ้านมีฐานะดีก็ไปเรียนม.เอกชน บางคนก็ไปช่วยทางบ้านทำธุรกิจ   ในขณะที่ผมกำลังจะขึ้นปี2ในการเรียนมหาวิทยาลัย คเชนก็มาหาผม แล้วก็บอกผมว่าเขาสอบผ่านข้อเขียนนักเรียนเตรียมทหารแล้ว ก็เป็นข่าวดีมากๆ  เขาต้องเตรียมตัวซ้อมสมรรถภาพร่างกายเพื่อการทดสอบทางด้านพลศึกษา ซึ่งจะเป็นด่านที่สองของการสอบ(ณ ตอนนั้นผมเรียนคณะศึกษาศาสตร์ ภาควิชาพลศึกษา) สิ่งที่คเชน ต้องการให้ผมช่วย ณ ตอนนั้นก็คือ กางเกงว่ายน้ำ แว่นตาว่ายน้ำ(ผมมีเพราะผมเรียนว่ายน้ำ และกีฬาทางน้ำหลายวิชา)ผมจึงให้เขายืมไม่มีปัญหา  รวมจนถึงฝึกซ้อมวิ่ง(ตอนนั้นผมเป็นนักวิ่งของมหาวิทยาลัย และนักวิ่งเยาวชนสโมสรทหารอากาศ)ให้ได้ตามเวลาที่ได้ถูกกำหนดไว้ จากนั้นคเชนก็หายเงียบไป ซึ่งผมมาทราบข่าวอีกครั้งจากเพื่อนๆที่เรียนม.รามฯ ว่าเขาไม่ผ่านสัมภาษณ์ ผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีนักกับความผิดหวังของเพื่อนในการสอบครั้งที่3 ที่เขามาได้ไกลมากๆ จนเกือบจะไปถึงฝันนั้นอยู่แล้วเชียว อดทำให้ผมคิดถึงเรื่องของความเจ็บปวดใจที่จะเกิดขึ้นกับการพลาดหวังครั้งนี้ของเขาไม่ได้

จากนั้นปีต่อมาผมก็ได้ข่าวอีกว่า คเชนยังไม่ย่อท้อ เขาได้มีโอกาสผ่านเข้าไปสอบอีกเป็นครั้งที่4 แต่ครั้งนี้ไม่ผ่านตั้งแต่ข้อเขียน  ผมจึงคิดว่าสงสัยเพื่อนที่ชื่อคเชนคนนี้ คงจะเริ่มถอดใจแล้วล่ะ และเขาก็คงไม่อยากจะต้องมาผิดหวังซ้ำซากกับสิ่งที่พยายามทำมาอย่างต่อเนื่องถึง4ครั้งแล้ว...แต่แล้ววันหนึ่ง คเชน ก็โทรมาหาผม แล้วบอกว่า "ไอ้ยุทธ! กูได้เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจแล้วนะเว่ยเพื่อน! ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น กูทำได้แล้ว" (ผมชื่อจริงว่ายุทธนา, ดังนั้นบางคนก็จะเรียกผมว่าไอ้ยุทธ, บางคนก็เรียกว่าไอ้มี่) จากการพยายามในครั้งที่5 ของเขา ณ ตอนนั้นก็ค่อนข้างดีใจและภูมิใจในความพากเพียรพยายามของเพื่อนคนนี้เป็นอย่างมาก

คเชนเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อได้เข้าไปเรียนเตรียมทหารแล้ว เขาต้องเรียนร่วมรุ่นกับรุ่นน้องสมัยเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดหลายคน...ผมจึงถามคเชนว่า "แล้วมึงจำมันได้ยังไงวะรุ่นน้องน่ะ? มีนักเรียนตั้งหลายพันในสมัยมัธยมและเราก็มักจะรู้จักแค่นักเรียนรุ่นเดียวกันเสียเป็นส่วนใหญ่" คเชนบอกว่า "กูจำมันไม่ได้ แต่มันจำกูได้ มันบอกว่าตอนนั้นกูอยู่ ม.5 มันอยู่ม.1 กูขึ้นไปนำสวดมนต์ตอนเช้าก่อนเข้าเรียนมันเลยจำกูได้" (อ้อ..เข้าใจล่ะ ดีใจด้วยเพื่อน)และที่ฮากว่านั้นก็คือ ที่โรงเรียนของเราก็จะมีนักเรียนสอบติดเป็นนักเรียนเตรียมทหารทุกๆปีอยู่แล้ว และที่โรงเรียนเตรียมทหารนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องอายุ เขาสนใจเรื่องการนับรุ่นครับ เข้ามาทีหลังถือว่าเป็นรุ่นใหม่เป็นรุ่นน้องต้องนอบน้อมรุ่นพี่ ดังนั้น คเชน จึงต้องเรียกนักเรียนรุ่นน้องสมัยมัธยมหลายๆคนว่าพี่

และนี่ก็คือเรื่องของความ อดทน มุ่งมั่น พากเพียร พยายาม อย่างยิ่งยวด จนนำ คเชนไปสู่ความสำเร็จดั่งที่เขาปรารถนา ซึ่งสอดคล้องกับพุทธสุภาษิตที่ว่า
"ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา"
ความอดทนคือความทนทาน เป็นตบะอย่างยิ่ง

ในการฝึกโยคะ การบำเพ็ญตบะ เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งจะทำให้โยคีที่ฝึกโยคะอย่างจริงจัง ได้ไปถึงฌาณ สมาธิ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการฝึกโยคะ ตามแนวทางของมรรค8แห่งโยคะ

หากทุกคนมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะทำอะไรสักอย่างให้ประสบความสำเร็จ แต่ยังไม่พบกับความสำเร็จสักที ก็อย่าได้ท้อแท้ ขอจงพยายามต่อไป สักวันหนึ่งความพยายามนั้นคงจะนำมาซึ่งความสุข สดชื่น สมหวัง ดังเช่น เพื่อนของผมที่ชื่อคเชน คนนี้

ปัจจุบัน คเชน เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่อำเภอใด อำเภอหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี (น่าจะเป็นผู้กอง) ซึ่งล่าสุดที่ผมได้โทร.หาคเชน ก็ได้คุยกันเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเขาคงมีภาระกิจการงานที่ค่อนข้างเย๊อะ  เขาบอกผมว่ากำลังยุ่ง...แล้วจะโทรกลับ. และถ้าเพื่อนๆคนไหนของผมที่ได้พบเจอหรือสามารถติดต่อกับคเชนได้ รบกวนช่วยฝากบอกคเชนด้วยว่า เพื่อนที่ชื่อไอ้ยุทธคนนี้รอให้มันโทรกลับมา 3ปีแล้ว...

ขอพลังแห่งโยคะ และตบะ จงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไปเทอญ

แด่ เพื่อนๆ ม.6/3, ปีการศึกษา2538 โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จังหวัดสุพรรณบุรี

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger