การบินไป...ในเส้นทางสายโยคะ (ของจิมมี่)
ในชีวิตของผมการเดินทางด้วยเครื่องบิน ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะมีโอกาสได้เดินทางด้วยเครื่องบิน(ส่วนใหญ่ ได้แต่เป็นหมามองเครื่องบิน...บู๋....) แต่สิ่งที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางด้วยเครื่องบินเกือบทุกครั้งก็คือโยคะนี่แหละครับ การเดินทางด้วยเครื่องบินครั้งแรกของผมเกิดจากการที่ต้องเดินทางไปสอนโยคะที่ภูเก็ต 3วัน แต่ครั้งนั้นไม่ได้ออกนอกประเทศ สำหรับการที่ผมจะไปอบรมหลักสูตรครูฝึกโยคะที่ประเทศมาเลเซียนั้น เป็นการบินออกนอกประเทศครั้งแรก แล้วก็ไปอยู่ค่อนข้างนาน(20วัน)
ต้องบอกก่อนเลยว่าในเรื่องของภาษาอังกฤษแล้วล่ะก้อ ผมอยู่ในขั้นค่อนข้างแย่เลยล่ะ อาศัยว่ามั่นใจ หากเขาพูดถึงเรื่องโยคะเราก็คงน่าจะเข้าใจไม่มากก็น้อยล่ะ(อาศัยใจกล้า+บ้าบิ่น) การเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ไม่มีปัญหาครับ แต่พอถึงมาเลเซีย ผมฟังภาษาอังกฤษแบบที่แขกมาเลเซียตรงด่านตรวจคนเข้าเมืองพอเข้าใจ65เปอร์เซ็นต์สรุปใจความได้ว่าเขาถามผมว่าคุณมาทำอะไร แต่พอพูดโต้ตอบกลับไปผมต้องพูดซ้ำให้เขาฟังถึง3รอบเขาถึงจะเข้าใจว่าผมมาอบรมโยคะ(ยืนยันได้ถึงทักษะด้านภาษาอังกฤษ) พอเขาเข้าใจเขาถามต่อทันทีว่าจะอยู่ที่มาเลเซียกี่วัน ผมไม่อยากมีปัญหาจึงยกมือซ้ายสองนิ้ว ยกมือขวามากำมือ Twenty ใช่ เหอะๆ แล้วก็คิดในใจว่าอย่าถามต่อน่ะแก OK. ผ่านมาได้ด้วยดี รีบไปรับกระเป๋า และหาTaxi ไปโรงแรมที่พัก ไปถึงที่พักไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเขามีใบแสดงราคาโปรโมชั่นต่างๆให้เลือกดูได้ชัดเจนว่า เราจะเลือกแบบไหน อยู่นานเท่าไร ผมไปก่อนวันอบรมสองวัน วันแรกกว่าจะเข้าที่พักก็ค่ำแล้ว ส่วนอีกวันหนึ่งก็จะตะเวนไปถ่ายภาพในสถานที่ต่างๆที่ผมอยากจะไปในมาเลเซีย และซื้อของฝากให้คนทางบ้านตามใบสั่ง คุ้มค่ามากออกจากที่พักตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า กลับมาอีกทีหนึ่งก็เกือบๆหนึ่งทุ่มเลย (เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าบ้านเราหนึ่งชั่วโมง) ผมตื่นเต้นและเตรียมตัวเข้าฝึกอบรมในวันรุ่งขึ้นตอนเก้าโมงเช้า
มาถึงการฝึกอบรม ที่นี่เป็นสตูดิโอโยคะที่ไม่ใหญ่เรียน20คนก็คงแน่นห้องแล้ว ดีที่ว่ามีคนมาอบรมรุ่นเดียวกับผมแค่ 7คน ผู้เข้าอบรมเป็นชาวมาเลเซีย5คนหญิงล้วน ชาวต่างชาติเป็นผู้ชาย2คน มีผมและเพื่อนใหม่ชาวคูเวตซึ่งอายุน้อยกว่าผม1ปี บรรยากาศจึงสบายๆ เพราะคลาสไม่ใหญ่มาก มาสเตอร์ที่รับผิดชอบคอร์สนี้ ดูเหมือนเป็นชาวอินเดีย ชื่อ Paalu Ramasamy พอไปสอบถามท่าน ก็ได้ข้อมูลว่าท่านย้ายตามครอบครัวมาจากอินเดียตั้งแต่เล็กๆ มาอยู่ในสิงคโปร์จนโต สนใจด้านการออกกำลังกาย และโยคะทุกแขนง รับผิดชอบหลักสูตรอบรมครูฝึกโยคะทั้งในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ มีผู้ช่วยเป็นน้องหม๋วยชื่อWai Ling Chong เป็นชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีน สิงคโปร์เชื้อสายจีนและมาเลเซียเชื้อสายจีนเขาพูดภาษาจีนกลางเหมือนกันจึงสื่อสารกันเข้าใจง่าย หากไม่เข้าใจกันเขาก็พูดภาษาอังกฤษกันได้ทั้งสองชาติ ก็มีผมนี่แหละครับดูจะเป็นตัวถ่วงในรุ่น เขาก็เริ่มด้วยการฝึกสมาธิ ฝึกปราณยามะ และเรียนเรื่องปรัชญาอินเดีย ปตัญชลีโยคะสูตร หนังสือโยคะสุดคลาสสิคหะฐะโยคะประทีปิกา โชคดีที่ว่าก่อนจะมาเข้าอบรมพอผมเห็นหัวข้อที่เขาจะสอนผมก็เตรียมตัวหาหนังสือที่เป็นภาษาไทยอ่านก่อน ก็ได้หนังสือหลายๆเล่มจากสถาบันโยคะวิชาการ ของทีมงานของอาจารย์กวี คงภักดีพงษ์ และหนังสือแปล หัวใจแห่งโยคะของ ที.วี.เค. เทสิกาจารย์ ที่แปลโดยอาจารย์ธีรเดช อุทัยวิทยารัตน์ เป็นหนังสือที่ดีมากๆ อ่านแล้วทำให้เราเข้าใจถึงแก่นของโยคะอย่างแท้จริง ซึ่งช่วยผมได้เยอะมากในการมาอบรมครั้งนี้ สรุปเนื้อหาโดยรวม นอกจากเราจะเรียน ข้างต้นที่กล่าวมาแล้วยังมีเรื่อง กายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา ระบบการทำงานภายในร่างกายของเราที่เกี่ยวข้องกับการฝึกโยคะ การฝึกท่าโยคะอาสนะ โยคะนิทราเพื่อการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ อาหารกับการฝึกโยคะ โศธณกิริยา กุณฑาลินีโยคะ พันธะ ปราณ-วายุ ผมได้เรียนปรัชญาและปราณยามะกับนักบวชชาวฮินดูที่ Shivananda Asharm Divine life Soceity สาขาประเทศมาเลเซียท่านให้ความเอ็นดูผมมากเมื่อทราบว่าผมเป็นคนไทยและนับถือศาสนาพุทธ และเรียนอื่นๆอีกมากมาย บางเรื่องผมก็พอเข้าใจบางเรื่องก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่นี่แหล่ะเส้นทางสายโยคะของผม
อย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้เสมอว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องได้ ผมไม่อยากเป็นครูโยคะเถื่อนและผมก็คิดว่าโยคะเป็นสิ่งที่ดี,ถูกต้องเหมาะสมกับชีวิตผมมากที่สุดแล้ว ในเมื่อผมเลือกเส้นทางสายนี้แล้วผมก็จะทำในสิ่งที่ผมรักให้ดีที่สุด ผมไม่ได้อยากเป็นครูโยคะที่เก่งกาจ แต่ผมอยากเป็นครูโยคะที่ดี (แต่ถ้าไม่เป็นการโลภมากจนเกินไปก็อยากจะเป็นให้ได้ทั้งครูโยคะที่เก่งและดีในเวลาเดียวกัน)
หลังจากอบรมอยู่ที่มาเลเซียมาประมาณ 2สัปดาห์ ก็มาถึงการสอบวัดประเมินผลการฝึกอบรม การสอบแบ่งเป็น2ส่วนคือ ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ สำหรับผมภาคปฏิบัติไม่น่าจะมีปัญหาผมเป็นประเภทชอบจดจำชื่อท่าและฝึกท่าโยคะอาสนะสม่ำเสมอ จึงทำคะแนนในส่วนนี้ได้ค่อนข้างสูงกว่าคนอื่น ส่วนภาคทฤษฎีเป็นภาษาอังกฤษ ผมไม่ค่อยมีโอกาสทำข้อสอบเป็นภาษอังกฤษบ่อยครั้งนัก จึงรู้สึกหนักใจกับข้อสอบจำนวน100ข้อที่เป็นภาษาอังกฤษ เนื่องจากข้อสอบภาคทฤษฎีมีจำนวนหลายข้อจึงต้องใช้เวลาตรวจ ผมมารู้คะแนนก็ในวันที่จะต้องเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งทราบว่าเพื่อนชาวคูเวตได้คะแนนสูงที่สุด รองลงมาคือผมและผมคะแนนผ่านเกณฑ์เพียง3คะแนนเท่านั้น ก็เท่ากับว่าคนอื่นที่เหลือสอบไม่ผ่านต้องสอบแก้ตัวกันไป
การมาอยู่ที่มาเลเซียเพื่ออบรมหลักสูตรครูฝึกโยคะ ที่ได้รับการรับรองจาก Yoga Alliance (YA.) 20วัน ทำให้ผมได้รับประสบการณ์ใหม่ๆที่ดีหลายอย่าง, พบเพื่อนใหม่ในเส้นทางสายโยคะ, จากการรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติเกือบทุกมื้อที่นี่ และด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพบางประการจึงทำให้ผมตัดสินใจเลิกกินเนื้อวัว,เนื้อหมูและเนื้อไก่ในที่สุด ผมปฏิญาณตนว่าจะนำความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในครั้งนี้ มาถ่ายทอดสู่ผู้อื่นให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ด้วยเทคนิคแนวทางการถ่ายทอดตามแบบฉบับของตัวผมเอง
รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับนมัสเต,
จิมมี่โยคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น ของคนในวงการโยคะ