เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

โยคะ...กับเรื่องของเด็กๆ (ภาคแรก)




โยคะ...กับเรื่องของเด็กๆ (ที่จิมมี่ ไม่อยากเจอ)

โดยปกติแล้ว ครูสอนโยคะแต่ละท่าน ก็มักจะมีแนวการสอนที่ตนเองถนัด แตกต่างกันออกไป ส่วนตัวผมสอนได้หลายแนวครับไม่ว่าจะเป็น Hatha Yoga, Hatha Flow, Gentle Vinyasa, Hatha Vinyasa, Vinyasa, Power Yoga รวมไปจนถึงโยคะสำหรับผู้สูงอายุก็ชอบสอนครับ(เห็น แม่ๆ, ป้าๆ เขามีความสุข เราก็สุขใจด้วย) โยคะสำหรับคนตาบอดผมก็เคยสอนมาแล้วครับ(ชอบมากๆ สุขใจมากๆ จะพยายามหาโอกาสว่างๆ ไปสอนอีก) แต่ที่คิดว่าไม่ถนัดแน่ๆ และไม่น่าจะเข้าทางสำหรับผมคงจะเป็น โยคะสำหรับเด็ก ถ้าเป็นเด็กทั้งหมดเลย(เด็กล้วนๆ ไม่มีผู้ใหญ่ และเป็นเด็กวัยเดียวกัน)ก็คงจะสอนได้บ้างเป็นครั้งคราวไป แต่ถ้านำเด็กมาเรียนกับผู้ใหญ่เมื่อไหร่ล่ะก้อ..ผมจะไปไม่เป็นเลยล่ะครับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบเด็กนะครับ จริงๆแล้วผมก็เป็นคนรักและเอ็นดูเด็กๆ ผมก็มีลูกสาวครับตอนนี้ก็เกือบๆจะ สามขวบแล้ว(กำลังพูดเก่งและกำลังซนเลยเชียว) แต่ประสบการณ์สอนโยคะที่ไม่ค่อยดีของผมหลายๆครั้งมีเด็กเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญครับ ที่ผมจำได้แม่นยำมากๆมีด้วยกัน 3เหตุการณ์ดังต่อไปนี้


เรื่องแรก

ครอบครัวโยคะตัวจริง (Immersion 1)
เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 3-4ปีมาแล้ว ที่ฟิตเนสแห่งหนึ่ง ย่านปิ่นเกล้า(ปัจจุบัน...ปิดกิจการไปแล้ว) เหตุมีอยู่ว่า วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ผมก็ไปสอนโยคะที่ฟิตเนสแห่งนี้ตามปกติ ผมมาถึงที่นี่ก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเสมอ เวลาที่จะต้องสอนคือ บ่ายสองโมงตรง ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่ามีครอบครัวหนึ่งประกอบด้วย พ่อ,แม่และลูกสาว2คน คนที่ป็นพ่อแม่ดูแล้วอายุน่าจะประมาณ40ต้นๆ ลูกสาวคนโตน่าจะประมาณ11ปี คนเล็กประมาณ7-8ปี คนที่เป็นแม่มาสอบถามพนักงานต้อนรับเกี่ยวกับคลาสโยคะวันนี้ พนักงานให้ข้อมูลไปตามสมควร(พอดีผมอยู่ตรงพนักงานต้อนรับพอดี) ผมจึงสรุปว่าคนที่เป็นแม่คงเข้าเรียนเพียงคนเดียว ส่วนคนที่เป็นพ่อคงดูแลลูกๆอยู่ด้านนอกหรือพาลูกๆไปว่ายน้ำ เพราะว่าที่ห้องออกกำลังกายจะมีป้ายเป็นสติ๊กเกอร์เขียนติดไว้ชัดเจนว่า อายุต่ำกว่า15ปีห้ามเข้า ผมก็ไปทำธุระส่วนตัวแล้วก็เดินมาสอนตรงตามเวลา ทันใดนั้นทั้ง4คนครอบครัวก็ปักหลักวางเสื่อโยคะเรียงติดกัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ทราบว่า มาเป็นครอบครัว โดยที่มีสมาชิกท่านอื่นนั่งปูเสื่อโยคะกระจายอยู่ประมาณ10ท่าน ซึ่งดูแล้วต่างคนต่างมา ลางสังหรณ์ผมบอกทันทีว่าวันนี้ผมจะได้เจออะไรแปลกๆอีกแล้ว เพื่อเป็นการหยั่งเชิงผมจึงถามด้วยความสุภาพว่า " โดยปกติแล้วทางฟิตเนสเขาไม่อนุญาติให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเข้ามาในส่วนนี้ไม่ใช่หรือครับ?" คนเป็นแม่ตอบด้วยความสุภาพกลับมาทันทีว่า "เห็นมีป้ายติดอยู่แค่ตรงส่วนฟิสเนส ตรงนี้คงไม่เป็นอะไรหรอกมั๋งคะ ลองให้เด็กเรียนด้วยได้ไหมคะ เพราะไม่มีใครคอยดูเด็กๆคะ ดิฉันกับสามีอยากฝึกโยคะค่ะ" ผมก็เป็นประเภทขี้เกรงใจ แต่ในเวลาเดียวกันก็หันไปดูสีหน้าสมาชิกทุกคนในห้อง พอจะอ่านใจทุกคนได้ประมาณว่า (ก็ได้แต่อย่าให้ลูกๆแกมาสร้างความวุ่นวายทำลายสมาธิก็แล้วกัน) ในเมื่อคนเป็นแม่เขาก็พูด ขอขนาดนี้แล้ว คิดในใจว่าเป็นไงเป็นกัน ลองดูอีกซักทีถึงแม้จะเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีมาบ้างแล้วแต่วันนี้อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ การสอนตอนแรกๆ ก็ราบรื่นดี เพราะเด็กทั้งคู่ยังมีสมาธิอยู่เป็นครอบครัวที่น่ารักในสายตาของสมาชิกทุกคน พอผ่านไป15นาที เด็กๆเริ่มหมดสมาธิ คนพี่จึงเริ่มทำหน้าที่พี่ที่ดีคอยช่วยสอนน้องและก็สอนเรื่อยๆเกือบทุกท่า ผู้เป็นแม่ก็มักจะทำเสียงจุ๊ๆ...เบาๆเพื่อปรามลูกเป็นระยะๆ คงไม่อยากว่าลูกเสียงดังเพราะเกรงใจสมาชิกท่านอื่น สมาธิในการสอนของผมเริ่มสั่นคอนแล้วครับตอนนี้ ในขณะเดียวกันเมื่อหันไปสังเกตสีหน้าแววตาของสมาชิกท่านอื่นๆ ตอนนี้แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกแอบยิ้มขำๆด้วยความเอ็นดู ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคล้ายๆพยายามใช้สมาธิในการเรียนเพิ่มมากขึ้นสังเกตได้จากหัวคิ้ว ซึ่งขยับเข้ามาอยู่ใกล้ๆกัน (พูดง่ายๆเริ่มเซ็ง) จากครอบครัวที่น่ารักก็เริ่มกลายมาเป็นครอบครัวที่น่ารำคาญแล้วครับตอนนี้ ผมก็ยังประคับประครองการสอนไปให้ราบรื่นมากที่สุด โดยพยายามคิดว่าครอบครัวนี้ไม่มีตัวตนอยู่ในห้อง แต่ในที่สุดบรรยากาศก็มาตรึงเครียดสุดๆ ตอนเด็กผู้เป็นน้องทนไม่ไหวกับการมาคอยสอนของผู้พี่จึงเริ่มตอบโต้ เสียงดังขึ้นมาว่า "ตัวเองก็ไม่เห็นจะทำท่าได้ดีตรงไหนเลยทำมา อวดเก่งสอนคนอื่นเขา" จากนั้นก็เริ่มมีการปะทะวาจาภาษาพี่น้องเด็ก ตอนนี้สมาชิกท่านอื่นเซ็งสุดๆได้ที่จึงมองหน้าผม แบบความหวังของคลาสอยู่ที่ครูผมจึงเงียบและหันไปมองทางครอบครัวนั้นและยิ้มแหยๆให้โดยไม่พูดอะไร แต่ทั้งครอบครับรู้ทันทีว่าผมต้องการอะไรผู้เป็นพ่อจึงตัดสินใจพูดขึ้นว่า "ใครจะไปทานไอศครีมกับพ่อบ้าง?" (ผมคิดในใจว่า ผมไปทานไอศครีมไม่ได้เพราะผมต้องสอนโยคะให้จบคลาส) คนเป็นพ่อทำท่ารีบวิ่งหนีลูกๆออกไป แล้วทันใดนั้นลูกๆทั้งสองก็วิ่งตามออกไป จึงทำให้เหตูการณ์สงบลงเหลือไว้แต่ผู้เป็นแม่ กับเสื่อโยคะว่างๆที่วางติดกันอยู่อีก3ผืน พร้อมกับสมาชิกท่านอื่นๆอีกประมาณ10ท่าน คลาสโยคะของผมก็กลับมาสงบอีกครั้ง แล้วก็ผ่านขั้นตอนต่างๆมาจนถึงท่าศพอาสนะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ผู้เป็นแม่จึงใช้จังหวะนี้แอบเดินย่องออกจากห้องไปแบบเงียบๆ พอจบคลาสสมาชิกทุกคนก็ไม่เห็นวี่แววของครอบครัวนี้แล้ว มีเพียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสมาชิกท่านอื่นๆถึงครอบครัวนี้ แบบนานาทัศนะ

จากประสบการณ์ครั้งนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจผมเสมอมาเลยว่าในการฝึกโยคะควรจะแยกเด็กออกจากผู้ใหญ่เพราะมิเช่นนั้นจะมีปัญหาในเรื่องของสมาธิ อย่างที่ผมพบเจอ จึงฝากถ่ายทอดประสบการณ์นี้ถึงเพื่อนครูสอนโยคะทุกคนที่ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ และครอบครัวที่จะพาลูกหลานไปเรียนโยคะกับท่านด้วย ควรสอบถามข้อมูลให้ดีเสียก่อน ทั้งกับทางสถานที่และครูผู้สอน

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความคิดเห็น ของคนในวงการโยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger