เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ศพอาสนะ...เตือนใจเราสู่สัจธรรมแห่งชีวิต


(รูปแรกคุณแม่ยิ้มกำลังอุ้มจิมมี่ในวัยเยาว์, รูปที่สองจิมมี่กำลังกอดน้องขิมลูกสาว)

ศพอาสนะ...เตือนใจเราสู่สัจธรรมแห่งชีวิต

พูดถึงท่า ศพอาสนะ แล้ว ผมคิดว่าผู้ฝึกโยคะทุกท่านคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ฟังชื่อท่าครั้งแรกแล้วรู้สึกสยองนิดๆ แต่ทุกคลาสโยคะที่เข้าฝึกไม่อยากให้ขาดท่านี้เลยจริงๆ เป็นท่าที่นำเราไปสู่การผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ฝึกให้เรามีสติรับรู้อยู่กับการผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ แต่บางครั้งก็ทำให้ผู้ฝึกหลายๆท่านถึงกับหลับไปเลยล่ะ

พอพูดถึงท่าศพอาสนะแล้วก็คงจะขาดศาสตร์ของโยคะนิทราไปไม่ได้(เขาเป็นของที่คู่กัน) โยคะนิทราตามความเข้าใจของผมก็คือ การใช้ศิลปะการพูดโน้มนำผู้ฝึกที่อยู่ในท่าศพอาสนะให้คล้อยตามไปสู่การผ่อนคลายร่างกายทุกๆส่วน โดยใช้น้ำเสียงและจังหวะการพูดที่ชวนให้ผู้ฝึกเคลิบเคลิ้มและคล้อยตามไปสู่การผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์แบบ หากพวกเราสังเกตให้ดีจะพบว่าครูโยคะผู้มีประสบการณ์หลายๆท่านมักจะพูดบทโยคะนิทราได้อย่างลื่นไหล ไพเราะชวนฟัง ประหนึ่งว่าท่องบทกาพย์ โคลง กลอน ให้เราได้นอนฟังกันเลยเชียว

ต้องพูดตรงๆเลยว่าทุกครั้ง ที่ผมสอน ท่าศพอาสนะ อดไม่ได้ที่จะทำให้ผมคิดถึงความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม คือการเสียชีวิตของคุณแม่ของผมเมื่อวันที่ 31มกราคม 2552 ที่ผ่านมา ท่านเสียชีวิตไปด้วยโรคติดเชื้อในกระแสโลหิต ซึ่งเป็นผลข้างเคียงมาจากการเป็นโรคเบาหวาน แรกๆหลังจากเสร็จงานฌาปณกิจศพ ผมก็ต้องกลับมาสอนโยคะตามปกติพอถึงท่านี้ก็มักจะมีน้ำตาคลอเบ้าเกือบทุกครั้ง ด้วยงานสอนที่มีทุกวันและวันละหลายรอบจึงทำให้ไม่มีเวลาไปเยี่ยมคุณแม่ที่ต้องนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัด เพราะจากการที่พี่สาวผมบอกเล่าให้ฟังและการพูดคุยกับคุณแม่ทางโทรศัพท์ก็คิดว่าท่านคงไม่เป็นอะไรมากนัก คืนวันที่30มกราคม ผมมีลางสังหรณ์ใจแปลกๆจึงรีบตัดสินใจไหว้วานให้รุ่นน้องที่สอนโยคะรีบขับรถพาผมไปเยี่ยมคุณแม่โดยด่วน ทั้งๆที่ในวันรุ่งขึ้นก็ต้องมีงานสอนแต่เช้า และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้สบตาและจับมือกับคุณแม่... สิ่งที่รู้สึกในตอนนั้นคือถามตัวเองด้วยความเสียใจว่า ทำไมเราไม่พยายามหาเวลามาอยู่กับคุณแม่ให้มากกว่านี้? เราไม่รู้หรอกว่าคนที่เรารักจะอยู่กับเราอีกนานแค่ไหน? หากเป็นไปได้ผมอยากแนะนำให้ทุกคนใช้เวลาอันมีค่าของเราอยู่กับครอบครัวที่เรารักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลังดังที่เกิดกับผมตอนนี้ การจากไปของคุณแม่ทำให้ผมตระหนักได้ทันทีถึงความรักที่คุณแม่มีให้กับผม เพราะในเวลานี้ผมก็มีลูกแล้วจึงเข้าใจได้ไม่ยากนักถึงความรักที่คุณแม่มีให้ จริงๆอย่างที่หลายๆคนเคยพูดไว้ว่า คุณจะเข้าใจว่าคุณแม่รักคุณมากแค่ไหนก็ต่อเมื่อคุณมีลูกและคุณต้องเลี้ยงลูกของคุณเองนั่นแหล่ สิ่งสุดท้ายที่คุณแม่เหลือไว้ให้คนทั้งหมู่บ้านได้จดจำคือ อายุของคุณแม่ผม 69ตอนเสียชีวิตทำให้หลายคนที่รู้จักคุณแม่ผม ถูกหวยกันจำนวนมาก(รวมถึงคุณพ่อของผมที่ไม่เคยซื้อลอตเตอรี่ ก็ซื้อและถูกกับเขาด้วย)

นอกจากท่าศพอาสนะจะสอนให้เราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ยังสอนให้เราตระหนักถึงความจริงในชีวิตประการหนึ่งที่ทุกคนไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ก็คือ ความตาย ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด ศาสนาใด สูง ต่ำ ดำ ขาว ร่ำรวย ยากจน ทุกคนคงหนีสัจธรรมของชีวิตคือความตายไปไม่ได้ วงจรของชีวิตเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งเที่ยงแท้แน่นอนที่สุด แล้วก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องชี้วัดได้อย่างชัดเจนว่าเราแต่ละคนจะมีอายุยืนยาวมากน้อยแค่ไหน บางคนกำลังจะมาเกิดแค่เป็นตัวอ่อนในครรภ์ถูกพรากชีวิตไปตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์ก็เยอะ, บางคนเกิดมาได้ไม่ถึงนาทีต้องเสียชีวิตไปก็มี แต่สำหรับบางคนมีชีวิตยืนยาวมากกว่าร้อยปีก็มี หลายๆคนก็เลยพูดว่าชีวิตคนเรามันสั้นยาวแค่ไหนไม่มีใครรู้ จะทำอะไรก็ให้รีบๆทำ (อย่าให้เป็นแบบผม ที่มีเวลาอยู่กับคุณแม่น้อยไปหน่อย) หากคิดอะไรไม่ออกก็ให้หมั่นทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศลไว้เยอะๆ เผื่อเกิดชาติหน้าฉันใดจะได้ไม่ต้องลำบากลำบนเหมือนชาตินี้ นั่นแน่ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องของชาตินี้ ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เวรกรรมมีจริงนะครับ และเดี๋ยวนี้ทำอะไรไม่ดีกรรมมักตามทันแบบกระชั้นชิดด้วย ดังนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแน่นอนอีกเช่นกัน (หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หากชาติหน้ามีจริงผมขอเกิดเป็นลูกของคุณแม่อีกทุกชาติ...ทุกชาติไป)
เนื่องในวาระวันแม่ ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปนี้ ถึงแม้วันนี้คุณแม่จะไม่ได้อยู่กับผมแล้ว สิ่งที่ผมจะทำให้คุณแม่ได้ภาคภูมิใจในตัวลูกคนนี้และเป็นของขวัญแด่คุณแม่ตลอดไปก็คือ ผมขอตั้งปณิภานว่าผมจะเป็นครูโยคะที่ดี เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ...และที่สำคัญที่สุดก็คือลูกคนนี้จะเป็นลูกชายคนดีของแม่ตลอดไปครับ...

อุทิศแด่ คุณแม่ยิ้ม พลเจริญ (คุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด...ของครูโยคะผู้ต่ำต้อยคนนี้)

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญกับผมมาก โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป ขอบคุณมากๆ ครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

5 ความคิดเห็น:

  1. ตอนนี้ก็เป็นครูโยคะที่ดีและไม่ได้ต้อยต่ำเลยสักนิด เป็นครูโยคะที่มีลูกศิษย์อยู่ทั่ว บางอย่างเราแก้ไขไม่ได้แต่ก็สามารถเตือนใจคนอีกหลายคนได้ เป็นกำลังใจให้เสมอ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากๆครับ สำหรับทุกกำลังใจ ที่ให้มา

    ตอบลบ
  3. You are the best teacher ka.

    One day I will have chance to meet you

    Kru Guugy

    ตอบลบ
  4. อ่านแล้วเศร้า แต่นุ่นเชื่อว่าคุณแม่ต้องภูมิใจในตัวครูจิมมี่แน่นอนค่ะ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณคะ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับทุกคน ขอให้ผลบุญจากผู้ที่อ่านได้ตระหนักและกตัญญูกับบิดามารดา ให้ครูมีความสุขคะ

    ตอบลบ

ความคิดเห็น ของคนในวงการโยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger