เรื่องเล่า...จากครูโยคะ
เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย
สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ
ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...
สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ
ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...
วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552
มีคนเคยบอกว่า ฝึกโยคะแล้วใบหน้าจะดูเยาว์วัย, ความจำก็จะดี (((?)))
(จิมมี่ในท่าศรีษะอาสนะและสรวางคอาสนะ)
มีคนเคยบอกว่า ฝึกโยคะแล้วใบหน้าจะดูเยาว์วัย, ความจำก็จะดี (((?)))
เมอร์รี่ คริสต์มาส ครับ สาวกโยคะทุกๆท่าน ที่ผ่านเข้ามาอ่านบทความ วันนี้ 25 ธันวาคม 2552
กูรูทางด้านโยคะ หลายต่อหลายท่านถึงแม้นว่าอายุอานามจะค่อนข้างมากโขแล้ว แต่ก็ยังดูสุขภาพแข็งแรง เมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกันบางครั้งอาจดูอายุน้อยกว่า ที่สำคัญยังมีความจำที่ดีเยี่ยมอีกต่างหาก หลายๆคนจึงฟันธงว่าอาจเป็นเพราะการฝึกโยคะอย่างต่อเนื่องของท่านแน่ๆ แล้วหลายๆคนก็เกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า แล้วมันมีโยคะท่าไหนบ้าง? ที่จะช่วยทำให้เราดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอและไม่ขี้หลงขี้ลืม จากเหตุที่กล่าวมาข้างต้นนี่เองสาวน้อยสาวใหญ่หลายคนจึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการหันมาฝึกโยคะแบบทุ่มสุดชีวิต(อนิจจา)
จากบทเกิ่นนำตอนต้น ที่ยังคงทิ้งคำถามที่หลายคนเฝ้าตามหามาตลอดว่า ฝึกโยคะท่าไหน? แบบไหน? จึงจะดูเยาว์วัย และความจำดี จากตำราหลายๆเล่มที่ผมเคยอ่าน จากคำบอกเล่าของอาจารย์หลายๆท่านที่พูดต่อๆกันมา รวมจนถึงประสบการณ์ตรงของผู้ฝึกโยคะหลายๆท่าน ต่างกล่าวไว้ใกล้เคียงคล้ายคลึงกันว่า...ท่าโยคะอาสนะที่มีผลกับระบบไหลเวียนเลือดที่บริเวณใบหน้า,ศรีษะและสมอง มักเป็นท่าที่ทำในลักษณะเท้าชี้ฟ้าหัวทิ่มดินต่างๆ(Inversion Pose) เช่น ศรีษะอาสนะ(Head Stand), นิราลัมภะ ศรีษะอาสนะ(Tri Pot), สรวางคอาสนะ(Shoulder Stand) นอกจากนี้ก็ยังมีท่าโยคะอาสนะ ที่เราทำให้ศรีษะต่ำกว่าสะโพกอีก เช่น อโดมุกขะ สวานาสนะ(Down ward Facing Dog Pose), อุตตะนาสนะ(Standing Forward Bend Down), ประสาริตตะ ปาโดตะนาสนะ(Standing Leg Wide Forward Bend Down), ซาซาคาสนะ(Rabbit Pose) นอกจากนี้ก็ยังคงมีท่าโยคะอาสนะอื่นๆอีกมาก ที่มีผลกับใบหน้า ศรีษะและสมอง
เนื่องจาก ท่าโยคะอาสนะต่างๆดังที่ได้กล่าวมานั้น เป็นการทำให้ศรีษะของเราเปลี่ยนลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตำแหน่งของหัวใจ ซึ่งโดยปกติแล้ว ท่ายืนของมนุษย์นั้น ศรีษะจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าหัวใจ จึงทำให้การสูบฉีดเลือดเพื่อไหลเวียนจากหัวใจไปสู่ศรีษะต้องออกแรงต่อต้านแรงดึงดูดของโลก หัวใจของเราจึงทำงานหนักเสมอเพื่อส่งเลือดไหลเวียนไปยังตำแหน่งที่สูงกว่า ดังนั้นการที่เราทำให้ศรีษะของเราเปลี่ยนลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตำแหน่งของหัวใจ นอกจากจะช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจผ่อนคลายชั่วขณะแล้ว ยังเป็นการเพิ่มปริมาณเลือดที่ส่งไปสู่ใบหน้า,ศรีษะและสมองอีกด้วย
ในร่างกายของเรามีองค์ประกอบที่แยกย่อยออกเป็นเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆมากมาย และเซลล์ต่างๆเหล่านั้นก็ต้องการสารอาหาร เพื่อมาหล่อเลี้ยง บำรุง ซ่อมแซม รักษา ส่วนที่สึกหลอต่างๆในร่างกายของเรา การที่เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอก็มีผลทำให้ร่างกายของเราอาจจะต้องเสื่อมสภาพไปก่อนวัยอันควร ระบบการไหลเวียนเลือดของเราก็เป็นส่วนหนึ่งในการนำสารอาหารบางประการไปสู่เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายของเรา ดังนั้นการที่เราทำท่าโยคะอาสนะที่ศรีษะลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าหัวใจ จึงมีผลให้เลือดของเราและอ็อกซิเจนไหลเวียนไปสู่ใบหน้า ศรีษะและสมองอย่างเต็มที่ เซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆบริเวณใบหน้าศรีษะและสมองของเราก็จะได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่เพียงพอด้วย ซึ่งตามข้อสันนิษฐานดังกล่าวนี้เองอาจมีผลทำให้ช่วยชลอการเสื่อมลงของเซลล์บริเวณใบหน้า, ศรีษะและสมอง
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า ถ้าเราอยากจะมีใบหน้าเยาว์วัยหรือความจำดี ก็ให้ไปทำแต่ท่าต่างๆเหล่านี้ที่ผมกล่าวมา โดยแคร์อะไรทั้งนั้นนะครับ มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องอีกมากมายครับ เช่น
- การรับประทานอาหารและการพักผ่อนที่เหมาะสมเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
- มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในการฝึกโยคะอาสนะที่ค่อนข้างดี
- มีการแต่งกายที่เหมาะสมสำหรับการฝึกโยคะ
-ในขณะที่ฝึกควรท้องว่าง หรือรับประทานอาหารก่อนที่จะฝึกอย่างน้อย2-3ชั่วโมง
- ฝึกในสถานที่ ที่มีอากาศถ่ายเท สะดวก
- ควรมีเสื่อโยคะ หรือผ้าห่มผืนใหญ่พับสองทบ มารองร่างกายในขณะที่เราฝึกโยคะอาสนะ
- ปิดอุปกรณสื่อสาร และตัดขาดจากสิ่งรบกวนทั้งภายในและภายนอกจิตใจ ในขณะที่ทำการฝึก เพราะในบางท่าอาสนะต้องใช้สมาธิอย่างมาก
- ควรมีการอบอุ่นร่างกายอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเพียงพอ ก่อนที่จะไปทำท่าโยคะอาสนะต่างๆข้างต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว
- ไม่มีโรคประจำตัวหรืออาการบาดเจ็บตามส่วนต่างๆของร่างกายซึ่งเป็นอุปสรรคในการฝึก รวมไปจนถึง ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือมีประจำเดือนก็ไม่สมควรฝึกท่าต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น หรืออาจปรึกษาแพทย์ก่อนการฝึก (พึงระลึกไว้เสมอว่าครูสอนโยคะไม่ใช่หมอ เพื่อความแน่ใจและถ้าจำเป็นปรึกษาแพทย์ไว้ก่อนเป็นดีที่สุด)
- ท่าโยคะอาสนะบางท่าต้องใช้ทักษะพอสมควรดังนั้น ต้องรู้จักการประมาณตน ควรประเมินตนเองให้ดีเสียก่อนว่าอาสนะไหนเราสามารถทำได้อาสนะไหนควรหลีกเลี่ยงเพราะไม่มีใครจะมารู้จักตัวของเราได้ดีเท่ากับตัวของเราเอง
- ควรได้รับการฝึกภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางด้านการฝึกโยคะ สำหรับการฝึกครั้งแรกๆพยายามมาฝึกกับครูผู้เชี่ยวชาญ พอฝึกบ่อยครั้งจนชำนาญแล้วจึงอาจจะค่อยไปเริ่มกลับไปฝึกด้วยตนเอง
- ความพร้อมในการฝึกทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของเราในแต่ละวันไม่เท่ากัน ดังนั้นควรมีการประเมินขีดความสามารถของร่างกายเราแบบคลาสต่อคลาส หรือวันต่อวัน อย่าใช้แค่ความเคยชินเพียงอย่างเดียว
- อย่าให้ความเข้าใจผิดๆในการฝึกโยคะ มาเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวคุณเอง(จงเปิดใจให้กว้าง) อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ แบบไร้เหตุผล
แล้วถ้าสิ่งที่กล่าวมาเนี่ยมีทั้งหมด ทำได้(ก็เข้าสู่สภาวะที่เขาเรียกกันว่า ขั้นเทพ ดีๆนี่เอง) แต่ก็ยังไม่ได้เห็นผลอะไรที่ชัดเจน ที่ควรเกิดขึ้นกับใบหน้าและสมอง อันนี้เป็นพวกเดียวกับผมครับแต่ว่าผมยังไม่ใช่ขั้นเทพก็เท่านั้น สิ่งที่เกิดกับผมคือใบหน้าผมคงที่(หน้าตาดูสูงวัยแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว เลยดูแก่คงที่), เส้นผมเริ่มลดน้อยหายไปเรื่อยๆ และก็ดูว่าจะหายไปเร็วกว่าปกติ(ไม่รู้มันจะรีบไปไหน), เรื่องของความคิดความจำส่วนใหญ่ผมว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่นานๆทีก็มีบางเรื่องที่ลืมเอาดื้อๆก็มีเหมือนกัน(แล้วถ้ามีโอกาสจะเล่าให้ฟังถึงการหลงลืม ที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิตของผม) โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันน่าจะมีเรื่องของพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะตระกูลฝั่งทางคุณพ่อของผมส่วนใหญ่ผมน้อยก่อนวัยอันควรกันทั้งนั้น อีกอย่างก็เรื่องของความบ่อยถี่ในการฝึก ในตำนานกล่าวไว้ว่าโยคะสามารถฝึกได้เป็นประจำทุกวันประหนึ่งว่าเป็นกิจวัตรประจำวัน หรืออย่างน้อยก็ควรฝึกสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณไม่ต่ำกว่า 30 นาที
ของบางอย่าง บางทีก็ต้องใช้เวลา และเวลาที่ใช้ของแต่ละคนก็คงไม่เท่ากัน(บางคนอาจต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต)
ความพอดีสำหรับบางคนดูเหมือนเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจและยังหากันไม่เจอสักที อย่างไรก็ตามแต่ผมก็พึงพอใจมากๆกับสิ่งที่ผมได้รับจาการฝึกโยคะมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อย้อนกลับไปทบทวนความจำครั้งแรกที่ผมเริ่มฝึกโยคะ ผมก็เป็นผู้ชายธรรมดาที่ตัวแข็งคนหนึ่ง ก้มตัวไม่ค่อยลง ปัจจุบันตัวผมอ่อนพอประมาณ(ปัญญาก็เริ่มจะอ่อนตามตัวแล้วตอนนี้) ต้องบอกตรงๆว่าผมคงหันไปทำอาชีพอื่นไม่ได้นอกจากสอนโยคะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พลังแห่งโยคะจะช่วยให้ผู้ฝึกโยคะทุกท่านมี ใบหน้าที่ดูเยาว์วัยและมีความจำที่แม่นยำไปอีกนานแสนนาน
รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ
นมัสเต,
จิมมี่โยคะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ป้ายกำกับ
- Jimmy Thai Yoga (75)
- ่่Jimmy Yoga (1)
ความพอดีสำหรับบางคนดูเหมือนเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจและยังหากันไม่เจอสักที
ตอบลบแหม ครูขา ประโยคนี้ จี๊ดใจนู๋จริงๆๆ
ความพอดี ก็คงเหมือนความสุขน่ะค่ะ
ไม่ได้สำเร็จรูป แบบเปิดมาแล้วทุกคนจะใช้ได้เหมือนกันหมด
บุญรักษาค่ะครู
ปล. นานแล้วน่ะ ครู ไม่ได้ อัพเดท บล็อก อ่ะ
คนตามยังรออยู่น่ะค่ะ
ก็ขอให้ทุกคนพยายามตามหาความพอดีในชีวิตกันต่อไปนะครับ จะคอยเป็นกำลังใจให้ทุกคนเสมอ และก็หวังว่าจะเจอมันในที่สุดไม่ช้า ก็เร็ว...ส่วนเรื่องบล็อก พยายาม จะอัพเดตให้ได้บ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ครับ เนื่องจากช่วงนี้งานยุ่งมากๆ(ต้องขออภัย แฟนๆบล็อกทุกๆท่านด้วยครับ)
ตอบลบ