เรื่องเล่า...จากครูโยคะ
เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย
สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ
ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...
สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ
ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...
วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552
กรรมะโยคะ...
กรรมะโยคะ...
พอเราอ่าน คำว่า "กรรมะโยคะ" แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ฟังดูน่ากลัวใช่ไหมล่ะครับ อาจจะทำให้เราคิดไปถึงเรื่องเวรกรรม(ก็ไม่ผิด ถือว่าคิดไปถูกทางด้วยล่ะ) ชาวต่างชาติมักออกเสียงว่า "กามาโยคะ" แต่อย่าคิดไกลเลยเถิดไปถึงกามาสูตรนะครับ เดี๋ยวมันจะผิดประเด็นกันไปใหญ่ จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้มีความรู้ด้านภาษาสันสกฤตหรอกครับ อาศัยว่ามันใกล้เคียงกับภาษาไทย บวกกับการคอยสอบถามผู้รู้บ้าง และพยายามศึกษาเองบ้าง ก็เลยพอทราบความหมายของศัพท์สันสกฤตพื้นฐานบางคำ
กรรมะโยคะ ในที่นี้คนทั่วไปในวงการโยคะเขาจะเข้าใจกันว่ามันคือการทำอะไรเพื่อคนอื่น,ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจอันบริสุทธิและไม่หวังสิ่งใดๆตอบแทน บางสถาบันโยคะในอินเดีย อาจใช้คำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นคือ คำว่า "Seva เสวะ" ก็คือการช่วยเหลือสังคม ทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับสังคม พูดแล้วก็คือการทำบุญสร้างกุศลตามแบบของชาวพุทธเราดีๆนี่เอง ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี และก็คงมีวิธีการสร้างบุญสร้างกุศลที่ใกล้เคียงคล้ายคลึงกัน เป็นสิ่งที่ดีมากๆสังคมเราจะน่าอยู่ หากเราคอยช่วยเหลือดูแลเกื้อกูลกัน
กรรมะโยคะ ในแนวทางโยคะถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นการยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้นกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ ในทางความคิดง่ายๆก็คล้ายๆ การเอาใจเขา...มาใส่ใจเรา... ในบางเวลา บางครั้ง เราต้องการความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากคนในสังคม แต่บางครั้งหรือหลายครั้งที่เราไม่กล้าเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร แต่ในที่สุดก็มีคนใจดีมาช่วยเรา คนที่มาช่วยเราถือได้ว่าเขาได้ทำกรรมดี จัดเป็นกรรมะโยคะได้เช่นกัน ในชีวิตเราทุกคนผมคิดว่าเราได้ทำกรรมดีมาแล้วอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าการประกอบกรรมดีต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นจะเป็นอานิสงค์ ให้เราพบเจอแต่สิ่งดีๆในภายภาคหน้า(ทำดี ได้ดี...ทำชั่ว ได้ชั่ว)
ผมว่าเป็นปรัชญาขั้นสูงสำหรับเรื่องของโยคะ เป็นอะไรที่เห็นผลทันที แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเรานะครับ(ไม่ใช่ร่างกาย) ทุกครั้งที่เราทำกรรมะโยคะหรือกรรมดี เราจะรู้สึกสุขใจ อิ่มเอิบใจ อย่างชัดเจน ถึงแม้นบางกิจกรรมอาจจะเหน็ดเหนื่อยมากๆก็ตาม แต่เราก็ยินดีทำมันโดยไม่ปิปากบ่น และมีความสุขที่จะทำมัน ในชีวิตผมก็มีทั้งด้านมืดและด้านสว่างในจิตใจ ก็คงเหมือนๆกับทุกๆคน แต่หวังว่าด้านที่สว่างจะมากกว่า(อย่าให้ด้านมืดในจิตใจครอบงำมากเกินไป จนกลายเป็น Lord Dark Weider ใน Star War)
ผมก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่มักจะพยายามหากิจกรรมช่วยเหลือสังคมทำบ่อยๆ ที่ผมทำบ่อยมากๆเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมาก็คือ การไปวิ่งการกุศล10 กิโลเมตร เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผมว่าเป็นอะไรที่เราเรียก "ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว" คือได้ทำบุญทำกุศลพร้อมกับการได้ออกกำลังกายร่วมกับผู้คนมากมายในเวลาเดียวกัน นักวิ่งแนวหน้าหลายๆท่าน น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาผมดี เพราะไปบ่อยมากๆ โดยผมร่วมทีมวิ่งกับธนาคารไทยพาณิชย์ ก็สุขใจทุกครั้งที่ได้ไป เขาก็จะนำเงินจากการสมัครวิ่งของเราไปทำการกุศลฯ ช่วงหลังภาระการสอนของผมเยอะมากๆและมีงานสอนตอนเช้าวันอาทิตย์ด้วย จึงเป็นเหตุให้ผม ต้องห่างหายจากการวิ่งการกุศลไปโดยปริยาย
ในโลกแห่งการสอนโยคะ ของผมก็เจอทุกรูปแบบล่ะครับ บางครั้งก็โดนเบี้ยวค่าสอนบ้างแต่ก็มีไม่มากและจำนวนเงินก็ไม่เกินหลักร้อย(ผมก็พอทำใจได้ไม่ยาก และคิดว่าไปทำบุญด้วยการสอนโยคะก็จบกันไป) มีบางกรณี คือการไปสอนลูกค้าประเภทที่เรียกว่าส่วนตัว ที่ให้เราไปสอนให้ที่บ้านเขาเลย บางครั้งเขาก็พาเพื่อ,พาญาติมาเรียนกัน เพื่อเป็นการหารค่าใช้จ่าย ข้อดีของการสอนประเภทส่วนตัวแบบนี้ก็คือเราสามารถเรียกราคาค่าสอนได้ตามที่เราและเขาพอใจ ก็จะได้ค่าสอนมากกว่าที่เราไปสอนตามเฮลท์ครับหรือฟิตเนสทั่วๆไปอย่างแน่นอน ข้อเสียคือบางครั้งเรากำลังเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปสอนเขาแล้วอยู่บนเส้นทางที่ใกล้จะถึงบ้านเขาแล้วหล่ะ บางครั้งถ้าซวยหน่อยคือไปถึงหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ดันโทรมาของดเรียนแบบกระทันหัน ซึ่งตรงนี้สำหรับผมถ้าไม่ได้สอนก็ไม่กล้าที่จะไปคิดเงินค่าเดินทางอะไรกับเขาเดี๋ยวเขาจะหาว่าเรา ยุ๋มยิ๋ม, คิดเล็กคิดน้อย, เขี้ยว หลายๆครั้งพยายามทำความเข้าใจ แบบเอาใจเขา มาใส่ใจเรา (แต่สุดท้ายคนที่เสียความรู้สึกมากที่สุดก็คือตัวผมนี่เอง) ทั้งๆที่ผู้มีประสบการณ์หลายท่านในวงการโยคะต่างก็บอกว่า ควรขอเก็บเงินล่วงหน้า หากเกิดการงดเรียนต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน 24ชั่วโมง มิเช่นนั้นจะถูกหักเงิน 50% ของการจ่ายค่าสอนครั้งนั้นๆเป็นค่าเสียเวลาของครูผู้สอนผมก็ไม่เคยทำตามที่เขาแนะนำหรอก แบบว่าเป็นประเภทขี้เกรงใจมากๆ ก็เลยคิดตามแนวทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเอง ว่าชาติที่แล้วเราอาจจะเคยติดค้างเขาไว้เลยต้องชดใช้ในชาตินี้(แหม! พ่อพระแท้ๆ) แต่เพื่อเป็นการดับเหตุแห่งทุกข์ผมจึงค่อยๆเลิกรับงานสอนลักษณะส่วนตัวไป จนกระทั่งไม่รับเลยในที่สุด ผมเลือกที่จะสอนตามฟิตเนส, เฮลท์คลับ เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะได้ค่าสอนน้อยกว่านิดหน่อยแต่ก็ค่อนข้างแน่นอนและชัดเจน มีการทำงานที่เป็นระบบ แบบแผนมากกว่า ประกอบกับช่วงหลังผมมา ทำเทรนนิ่ง คือสอนคนอื่นเพื่อไปเป็นครูสอนโยคะอีกทีหนึ่ง ก็เลยรับงานสอนน้อยลง แต่มาทำเทรนนิ่งมากขึ้น ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เป็น(เวร)กรรมของผมเกี่ยวกับการสอนโยคะล่ะครับ
มีครั้งหนึ่ง ผมได้นำนักเรียนในคอร์สครูฝึกโยคะ 200ชั่วโมง จากสถาบัน ฟิต ที่ผมรับผิดชอบการเทรนนิ่ง ไปทำกิจกรรมพิเศษ ด้วยการไปสอนโยคะให้กับคนตาบอด เป็นกรรมะโยคะที่ต้องจดจำไปตลอดชีวิต วันนั้นมีนักเรียนไปช่วยผมหลายคน ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน แรกๆก็แบ่งกันดีเลยเชียว ว่าใครจะสอนตรงไหน พอทำไปทำมา กลายเป็นว่า ผมสอนเกือบหมด เพราะต้องอธิบายให้ละเอียดมากกว่าปกติแบบที่ไม่เคยทำที่ไหนมาก่อน นักเรียนที่ไปร่วมสอนกับผมหลายๆคนประสบการณ์ในการสอนยังไม่มากนักจึงไม่รู้ว่าจะพูดแบบไหนดีที่จะทำให้คนที่มองไม่เห็น เข้าใจและทำท่าตามที่เราต้องการได้ ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันทำให้ผมพอจะเข้าใจว่าควรจะต้องอธิบายเขาแบบไหนดี ทั้งๆที่ผมก็ไม่เคยสอนคนตาบอดมาก่อน พอสอนเสร็จผมรู้สึกว่าเหนื่อยมากกว่าการสอนโยคะปกติสองหรือสามเท่าเพราะต้องพูดตลอดเวลาจริงๆ แล้วก็ต้องคอยมองพวกเขาตลอดเวลาว่าทำตามทีผมพูดได้อย่างถูกต้องหรือไม่ การสาธิตด้วยการทำท่าโยคะอาสนะไม่มีความหมายเลยสำหรับที่นี่ (เพราะนักเรียนกลุ่มนี้มองไม่เห็นครูผู้สอน) คนสอนทำได้แค่พูดและพูดให้เขาเข้าใจมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เท่านั้น มันเป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายผมมากๆ ผมใช้พลังเยอะมากๆในการสอนครั้งนี้ สอนเสร็จคอแห้งมากๆและมีคราบขาวๆรอบๆขอบปากผม เป็นสัญญาลักษณ์บอกให้ทราบถึงการขาดน้ำ เพราะในขณะที่สอน ผมได้ดื่มน้ำน้อยมากๆ แต่เพียงแป๊บเดียว ความรู้สึกเหนื่อยร้าทั้งหมดของผมก็หายไปโดยสิ้นเชิงหลังจากที่ได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขจากกลุ่มของคนตาบอดที่มาเข้าฝึกโยคะกับพวกเราในครั้งนี้ พอเสร็จคลาสก็เป็นช่วงเวลาของการรับประทานอาหารกลางวัน ก็เลยถือโอกาสช่วงที่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกันได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มคนตาบอด คนตาบอดบอกว่าชอบมากๆ หากเป็นไปได้ก็อยากให้ไปสอนพวกเขาบ่อยๆ ปกติเขาก็เคยมีการฝึกโยคะอยู่บ้างแล้วก่อนหน้านี้ แต่ที่พิเศษก็คือวันนี้ได้ไหว้พระอาทิตย์(สุริยะนมัสการ)เนื่องจากเขาไม่เคยไหว้พระอาทิตย์มาก่อนเลย กลุ่มคนตาบอดที่มาฝึกโยคะกับพวกเราดูมีความสุขมากๆ แต่พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าผมและคณะที่มาช่วยร่วมสอนทุกคนก็มีความสุขมากๆไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเขาเลยเช่นกัน (ผู้ให้ย่อมสุขใจกว่าผู้รับ)
การได้ไปสอนโยคะให้กับคนตาบอดของผมในครั้งนั้น เป็นกรรมะโยคะที่ผมรู้สึกประทับใจและคงไม่มีวันลืมได้ คิดถึงสิ่งนี้เมื่อไหร่ ก็รู้สึกสุขใจ อิ่มเอิบใจทุกครั้ง...
แล้ววันนี้คุณได้ประกอบกรรมะโยคะบ้างหรือยัง?
ขอพลังแห่งกรรมะโยคะจงอยู่กับผมและผู้ที่มีศรัทธาในกรรมะโยคะทุกคนตลอดไป เทอญ
รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ
นมัสเต,
จิมมี่โยคะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ป้ายกำกับ
- Jimmy Thai Yoga (75)
- ่่Jimmy Yoga (1)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น ของคนในวงการโยคะ