เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ควันหลงจาก Asia Yoga Conference 2010.

(จิมมี่ กับป้าย Yoga Takes Me Here)

ควันหลงจาก Asia Yoga Conference 2010.


เก๋าที่สุด ของงานนี้ ก็คงต้องยกให้ Sri Dharma Mittra เพราะท่าน น่าจะเป็นครูที่อายุมากที่สุด ที่ได้ถูกเชิญมาสอนในงานนี้


ฮาที่สุด ของงานนี้ ก็คงต้องยกให้ Michel Besnard เพราะเขาสอน โยคะหัวเราะ ซึ่งเป็นคลาสพิเศษในงานนี้ ทุกคนที่เข้ามาในงานนี้สามารถเข้าคลาสได้ฟรี แค่กรอกข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนเข้า คลาสเรียน
ทุกครั้งที่ Michel Besnard เจอผมในงาน เขาจะบอกผม ว่ารีบกลับไปดูแลฟาร์มดีกว่า พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง เพราะเขา จำผมได้จากFacebook คือเกมส์ FarmVille ซึ่งผมก็ต้องอธิบายให้เขาฟังยกใหญ่ ว่าที่เห็นเป็นรูปผม จริงๆแล้วเป็นภรรยาของผมที่ใช้รหัสล็อกอินของผมเข้าไปเล่นเสมอๆ ส่วนตัวผมเองแล้วนั้น ไม่เคยเล่นเกมส์ครับ ขอบอก(ก็ต้องขอบคุณภรรยาสุดที่รักของผม ที่ทำให้ โยคะมาสเตอร์หลายๆคนจำผมได้อย่างแม่นยำ)


สูงที่สุด ของงานนี้ ก็ต้องยกให้ Mark Whitwell เพราะเขามีความสูงประมาณ เกือบ 2เมตร เดินไปไหนมาไหนในงานก็จะโดดเด่นมากๆ (ลุงมาร์ค เหมือนเสาโทรเลข ดีๆนี่เอง)


กระทัดรัดที่สุด ของงานนี้ ก็ต้องยกให้ Patrick Creelman ฝรั่งรูปร่างเล็ก แต่กล้ามใหญ่ ศิษย์เอกของ John Friend  นอกจากนี้แล้วดูเหมือนในงานนี้เขาจะเป็นครูที่ มีอายุน้อยที่สุดที่ถูกเชิญมาสอนอีกด้วย


การแต่งกายดูมีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมากที่สุด ก็ต้องยกให้ Andrey Lappa ครับ(มาสเตอร์โดเรม่อน อ้วนพลิ้ว) บอกได้คำเดียว ว่าเป็นเอกลักษณ์ ของเอกบุรุษจริงๆครับ เสื้อผ้าที่เขาใส่มีดีไซน์เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร สีของชุดที่เขาใส่ จะขึ้นกับสีประจำวันนั้นๆครับ สุดยอดมากๆ


ผู้หญิงที่แข็งแรงที่สุดในงานนี้ ก็ต้องยกให้ Ana Forrest ครับ เห็นท่าแฮนด์สแตนด์ของเธอ บอกได้คำเดียวผู้ชาย ที่แข็งแรงทั้งหลายต่างก็ต้องอายไปตามๆกันล่ะครับ ถึงแม้อายุเธอ จะ 50กว่าแล้วก็ตาม นอกจากนี้เธอยังเป็นคนที่มีบุคลิกชัดเจนแสดงออกแบบตรงไปตรงมา


ร่าเริง, แจ่มใส, ไฮเปอร์ ที่สุดในงานนี้ ก็ต้องยกให้ Twee Merrigan ครับ สนุกสนาน มนุษยสัมพันธ์ดีทั้งวันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สอนแนวกระโดดโรดเต้นได้ทั้งวันเลยครับ ผู้หญิงคนนี้


ยิ้มแย้ม แจ่มใส น่าส่งไปประกวดนางงามมากที่สุด ต้องยกให้ Sandhi Ferriera นอกจากรูปร่างหน้าตาจะดูดีแล้วเวลาที่เธอสอน เธอจะยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลาเลยล่ะครับ


ผมสวยที่สุด ในงานนี้ แน่นอน ต้องยกให้ Sean Corn ครับ นอกจากการพูดในเวลาที่สอนจะน่าฟังและมีพลังแล้ว ทรงผมของเธอก็เป็น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้บุคลิกของเธอโดดเด่นขึ้นมา


หนวดงามที่สุด ในงานนี้ ก็ต้องยกให้ Dylan Bernstein แต่งานนี้เขาไม่ได้ถูกเชิญมาเป็นครูนะครับ เขามาเป็นนักเรียน หลายๆคลาสก็เข้าเรียนเหมือนกันกับผม หนวดเขาโดดเด่นมากๆ ขอบอก


มางานนี้ เพื่อมาสอนผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ต้องยกให้ Ellen Heed เพราะแต่ละเรื่องที่เธอสอน เป็นเรื่องผู้หญิ๋ง ผู้หญิง พูดง่ายๆว่าไม่มีผู้ชายเรียนกับเธอเลย เพราะคลาสของเธอส่วนใหญ่ไม่อนุญาติให้ผู้ชายอย่างเราๆเข้าไปเรียนครับ(ถอดเสื้อผ้าเรียนกันหรือ ยังไงก็ไม่รู้)


สอนแล้วค้างท่าน๊าน...นานที่สุด แน่นอน ต้องยกให้ Simon Low เพราะว่าเขาสอน Yin Yoga ครับ ผมเคยเข้าคลาสของเขา และสร้างตำนาน ค้างและหลับในท่าที่เขาสอนมาแล้ว(อุตส่าห์ทำได้นะครูจิมมี่)


สุดยอดของ ปรัชญาแห่งโยคะ Yoga Philosophy ก็ต้องยกให้ Carlos Pomeda ครับ เป็นฝรั่งที่อยู่ในแวดวงวิชาการของโยคะระดับนานาชาติมายาวนาน ถ้าเปรียบเทียบกับ บ้านเรา ก็ อาจารย์กวี คงภักดีพงษ์เลยครับ อาจจะไม่เหมือนสะทีเดียว แต่แนวเดียวกันครับ


สุดยอดของ อายุรเวท ก็ต้องยกให้ Dr. Madhavan ครับ ท่านสอนอายุรเวท ต้นตำหรับจากอินเดียขนานแท้แน่นอน นอกจากนี้ท่านก็สอนโยคะบำบัดด้วยครับ


โมเดิร์น อินเดีย นำศาสตร์ของตะวันออกมาประยุกต์กับศาสตร์ของตะวันตกได้อย่างลงตัว ในแนวโยคะบำบัดสมัยใหม่ ก็ต้องคนนี้เลยครับ Ganesh Mohan


สุดยอดของการ Dance แบบอินเดีย ฝ่ายชาย สำหรับงานนี้ ก็ต้อง Hari Om


สุดยอดของการ Dance แบบอินเดีย ฝ่ายหญิง สำหรับงานนี้ ก็ต้อง Hemalayaa คิดว่าหลายๆคนคงเคยเห็นผลงานของเธอ จาก ดีวีดีบ้างไม่มากก็น้อย


ดูสมถะที่สุดในงานนี้ น่าจะเป็น Govinda Kai ภาพลักษณ์ เหมือนหลวงจีน ในภาพยนตร์จีน ยังงัย ยังงั้นเชียว(อามิตตาพุทธ)


ครูสอนโยคะที่แต่งตัวเดินออกจากห้องหลังจากที่คลาสจบแล้ว ไม่มีใครคิดว่าเป็นครูโยคะ ก็ต้อง Jason Crandell กลมกลืนกับคนอื่นมากๆ แต่งตัวสบายๆ รองเท้าผ้าใบ กางเกงยีนส์ สะพายกระเป๋าคล้ายๆกระเป๋าใส่เอกสารเฉียงลำตัว ดูคล้ายๆพวกทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์ซะมากกว่า(ถ้าไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นครูสอนโยคะ)


สุดยอด ของวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว และสรีระวิทยา ก็ต้องยกให้ Judy Krupp คนนี้ของจริงครับ ขอบอก(เธอคือเจ้าแม่แห่ง Yoga Anatomy และโยคะบำบัดอีกคนหนึ่ง)


สุดยอดครูโยคะจากเมืองไทยของเรา ฝรั่งหัวใจไทย Paul Dallaghan จากโยคะไทยแลนด์ เกาะสมุย ก็ถูกเชิญมาสอนในงานนี้ ในเรื่องของอัษฎางคโยคะ และปราณยามะ

นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีครูคนอื่นๆอีกมากมายที่ถูกเชิญมาในงานนี้ แต่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยและไม่ได้กล่าวถึง อาทิเช่น David Moreno, Gahl Sasson, Geshe Michael Roach, Lama Chistie McNally, Rebecca Pflaum, Sudhakar Dheenan, Yogi Vishveketu...

และนี่ก็คือประมวล ควันหลงจากมหกรรมโยคะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย Asia Yoga Conference 2010.ของผม

Asia Yoga Conference 2011 จะจัดขึ้น ในวันที่ 9 - 12 มิถุนายน 2554 เผื่อมีใครสนใจจะไป จะได้เตรียมตัวเก็บเงินไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย ส่วนผมก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ปีหน้าจะได้ไปร่วมงานนี้อีกหรือไม่

แต่ที่รู้ๆ ปีนี้ โยคะได้นำพาให้ผม บินลัดฟ้าจากเมืองไทยมาที่ฮ่องกงนี้เป็นปีที่สามติดต่อกัน(ดังสโลแกนตามป้ายที่ผมไปยืนถ่ายรูป ตอนต้นของบทความนี้)

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จาก Asia Yoga Conference 2010.สู่การเดินทางกลับเมืองไทย


จาก Asia Yoga Conference 2010.สู่การเดินทางกลับเมืองไทย

วันนี้(อังคารที่18พ.ค.2553) พวกเราตื่นแต่เช้า เพื่อจะเตรียมตัวเดินทางกลับสู่เมืองไทย หลังจากที่ได้มาอยู่ที่ฮ่องกงเกือบ 1สัปดาห์ ตามกำหนดนัดหมายของวันนี้ คือ เช็คเอ๊าท์ก่อน 7.30น. หลังจากนั้นผมก็รบกวนให้คุณอ้อมช่วยติดต่อรถ มินิบัส มารับพวกเราที่หน้าโรงแรมเวลา 8.00น. เพื่อไปส่งเรายังสนามบินฮ่องกง รถที่มารับพวกเรามีจำนวนที่นั่งน่าจะประมาณ14ที่นั่งน่าจะได้ เหลือเฟือเลย นอกจากจะวางกระเป๋าจำนวนมากได้อย่างสะบายแล้วก็ยังนั่งกันคนละ 2ที่นั่งได้แบบสบายๆ  เวลาประมาณ 8.35น. พวกเราก็มาถึงสนามบินฮ่องกง คราวนี้เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มาถึงเราก็รีบเช็คอิน และโหลดกระเป๋าทันที เนื่องจากทางสถาบันฟิตของผมได้ฝากให้ผมนำหนังสือจำนวน 40เล่ม ที่สั่งจากทางฮ่องกงกลับมาด้วย น้ำหนักของหนังสือทั้งหมดก็คือ 15.5 กิโลกรัม แน่นอนครับถือติดตัวขึ้นเครื่องไม่ได้ครับ(ตามกฏของสายการบินนี้ ของที่จะถือติดตัวขึ้นเครื่องไปกับเราได้นั้น ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 7กิโลกรัมครับ) ดังนั้นก็ต้องโหลดลงใต้เครื่องด้วยครับ เสียค่าโหลดประมาณ 700ดอลล่าฮ่องกง หรือ ประมาณเกือบๆ 3,000บาทครับ

(บรรยากาศ ภายในรถมินิบัส ที่มารับพวกเราไปส่งที่สนามบินฮ่องกง)

จากนั้นก็ยังไม่วายที่จะต้องเดินช้อปปิ้งที่สนามบินเพื่อใช้ธนบัตรฮ่องกงราคาต่ำกว่า100 เราต้องใช้ให้หมด เพราะเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้วธนบัตรที่ราคาต่ำกว่า100ดอลล่าฮ่องกง จะไม่สามารถแลกเป็นเงินไทยได้(ธนาคารเขาไม่รับ) หากใครเคยมาที่สนามบินฮ่องกงแล้วคงพอจะทราบดีว่า พอเช็คอินและโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว จะต้องเผื่อเวลาพอสมควร เพราะจะต้องนั่งรถไฟฟ้าต่อไปเพื่อขึ้นเครื่องอีก ประตูที่เราจะต้องไปขึ้นเครื่อง ต้องขึ้นรถไฟฟ้าไป 2ต่อเลยล่ะครับ

เครื่องบินล้อหมุน ตอนเวลา 10.45น. ตรงเวลามากๆ พวกเรากลับมาถึงเมืองไทยตามเวลาท้องถิ่นก็คือ 12.25น. จากนั้นก็รีบเปิดโทรศัพท์หาคนทางบ้านทันที ในขณะที่เรามาถึงสนามบินก็พอจะทราบดีว่า สถานการณ์ในบ้านเมืองของเราไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่นัก แล้วพวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

แน่นอนครับ ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกลา หลังจากที่พวกเราได้ไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกันที่ฮ่องกงมา 1สัปดาห์เต็ม จากนี้ก็ต้องกับมาปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนตามปกติครับ ปัญหาก็คือ จะไปทำงานกันได้หรือไม่อย่างไรก็ไม่รู้ จากสถานการณ์บ้านเมืองของเราที่กำลังร้อนระอุอยู่ในขณะนี้และก็ยังไม่รู้ว่าจะสงบลงเมื่อไร

ในขณะที่พวกเราอยู่ที่ฮ่องกง พอหลายคนทราบว่าพวกเรามาจากเมืองไทย ก็มักถามถึงเหตุการณ์อันไม่สงบในบ้านเมืองของเรา ว่าสถานการณ์มันรุนแรงดังเช่นสื่อทั่วโลกได้เผยแพร่ข่าวไหม(ผมคิดในใจว่า รุนแรงกว่าที่ข่าวเผยแพร่อีกว่ะ) แต่ก็เฝ้าหวังภาวนาให้สถานการณ์ในบ้านเมืองของเรากลับมาสู่ความสงบในเร็ววันนี้

กลับมาถึงที่พักวันรุ่งขึ้นจนถึงวันนี้(พุธที่19 และ 20พ.ค.2553) ทุกอย่างใน กรุงเทพฯ ดูจะหยุดชะงักเกือบทั้งหมดและมีการประกาศสภาวะฉุกเฉิน ห้ามออกจากบ้านตั้งแต่ 20.00น.จนถึง 6.00น. ก็ได้แต่ฟังข่าวอยู่แต่ในที่พักครับ งานทุกอย่างช่วงนี้ งดไปทั้งหมดโดยไม่ต้องมีข้อสงสัย โถชีวิตคนไทย...

ไทยกลับไทย ต้องมาห่ำหั่น ฆ่าฟันกันเอง แล้วจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง ครับ พี่น้องครับ...

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันสุดท้าย สำหรับ Asia Yoga Conference 2010.

วันสุดท้าย สำหรับ Asia Yoga Conference 2010.

วันนี้(จันทร์ที่17พ.ค.2553) พวกเราตื่นแต่เช้าด้วยความสดชื่นแจ่มใส ถึงแม้นว่าจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยร้าแต่อย่างใด ต่างก็รู้สึกเหมือนๆกันว่า พรุ่งนี้จะได้กลับประเทศไทยกันแล้ว วันนี้ก็คงไปขอเก็บเกี่ยวความรู้ต่างๆให้เต็มที่อีกวันหนึ่ง

พวกเรายังคงมีอาหารที่เตรียมมาจากเมืองไทยเหลืออยู่พอประมาณ จึงรับประทานรองท้องก่อนจะออกเดินเท้าไปเข้าคลาสเรียน วันนี้ผู้คนตามท้องถนนค่อนข้างพลุกพล่าน เพราะเป็นวันที่คนฮ่องกงเขาต้องทำงานกันตามปกติ ซึ่งแตกต่างจากวันเสาร์, อาทิตย์ที่ผ่านมา

(Govinda Kai & Jimmy)

คลาสแรก ของวันสุดท้าย พวกเราส่วนใหญ่เข้าเรียนเรื่อง Ashtanga Yoga and Its Integration to Daily life ของ Govinda Kai ซึ่งเป็นครูโยคะอีกคนหนึ่งที่ผมไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไหร่ พอทราบแต่ว่าปัจจุบันท่านพักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น สอนโยคะในสไตล์อัษฎางคโยคะ ได้รับการรับรองจาก ท่าน ศรี เค ปัฐภี โชอิส มาในงานนี้ส่วนใหญ่ ท่านจะสอนบรรยาย มีเพียงไม่กี่คลาสที่สอนปฏิบัติ  พอทุกคนเข้ามานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้น สวดมนตราทันที ใบบทของ ศิวะมนตรา 12รอบ และต่อด้วยบทสวด วันเด การูนัม ของอัษฎางคโยคะ จากนั้นก็ลุยทันทีครับ ไหว้พระอาทิตย์ และทำ Primary Serie อย่างย่อ เมื่อเหลือ เวลา อีก 40นาที ท่านก็ให้พักในท่าศพอาสนะ จากนั้น จึงต่อด้วยการบรรยาย การนำการฝึกโยคะมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด อีกประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็ดีไปอีกแบบหนึ่งครับ พี่มุ บอกว่า ชอบGovinda Kai มาก เขาหน้าตาเป็นเอเชียผิวเหลืองและดู สุขุม เยือกเย็นดี

(Jimmy & Ganesh Mohan)

(Mark Whitwell & Jimmy ผมตัวเตี้ย หรือ Mark ตัวสูงก็ไม่รู้)

คลาสที่สอง ของวันสุดท้าย พวกเราส่วนใหญ่เข้าเรียนเรื่อง Healthy Back & Recovering from Back Pain โดย Ganesh Mohan อาจารย์โยคะชาวอินเดีย ปัจจุบัน ท่านเป็นโยคะมาสเตอร์รับเชิญ ของ Pure Yoga Hong Kong  คลาสนี้ก็เป็นคลาสบรรยายเชิงปฏิบัติ เน้นให้เราเข้าใจ ถึงสรีระวิทยาเกี่ยวกับแนวกระดูกสันหลัง และขอบเขตแนวการเคลื่อนที่ของกระดูกสันหลัง เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บจากการฝึกโยคะ เป็นทฤษฎีเสียส่วนใหญ่ครับ แต่ก็ได้เทคนิคต่างๆเกี่ยวกับการป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับกระดูกสันหลังของเรา พอคลาสนี้จบ Mark Whitwell กูรูโยคะจาก UK. ก็เดินเข้ามาในคลาสเพื่อเยี่ยมเยือนทักทาย Ganesh Mohan ผมจึงมีโอกาสได้ ถ่ายภาพคู่กับ Mark Whitwell ด้วย(ได้อวยพรวันเกิดให้ Mark ในวันนี้ด้วยครับ)

พักกลางวัน วันนี้ พวกเราก็ไปรับประทานข้าวราดแกงร้านเดิมครับ กับข้าวสองอย่าง 22 ดอลล่าฮ่องกง

หมายกำหนดการ สำหรับช่วงบ่ายวันนี้ของพวกเรา ก็คือ เข้าเรียนอีก คลาสเดียว จากนั้นพวกเราก็จะไปเดินช้อปปิ้งซื้อของฝากให้กับคนทางบ้าน

คลาสสุดท้าย วันสุดท้ายสำหรับ Asia Yoga Conference 2010 ของพวกเรา เราเลือกเข้าคลาสของ Sean Corn เป็นการส่งท้ายงานนี้ครับ คลาสนี้เป็นการบรรยายไปเสีย 2/3 ส่วนที่เหลือ 1/3 คือการปฏิบัติครับ ทุกคนต่างก็ประทับใจ ในการมาเข้าร่วม Asia Yoga Conference ในปีนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าปีหน้าพวกเราจะมากันอีกหรือไม่ ซึ่งในปีหน้า งานจะจัดขึ้น ในวันที่ 9-12 มิถุนายน 2554 ก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป







(ภาพบรรยากาศ ร้านค้า ต่างๆ ภายในงาน)

(Ana Forrest & Jimmy)

หลังจากที่จบคลาสของ Sean Corn แล้วพวกเราก็ออกมาช้อปปิ้งซื้อเสื้อผ้า ลดราคาในงาน(คืออันไหนที่ลดราคา ถูกใจ พอซื้อได้ เราก็ซื้อกัน แต่อันไหนไม่ลดราคา ก็อย่าหวังว่าจะได้เงินจากเรา)
นอกจากเสื้อผ้า และเสื่อโยคะแล้วก็ยังมี หนังสือ ซีดีเพลง และดีวีดี โยคะต่างๆมากมาย วางขายในงานนี้ บ้างก็ลดราคา บ้างก็ไม่ยอมลดราคาเลย ก็ช้อปปิ้งกันตามสมควรครับ ระหว่างนั้นก็ได้เจอกับ Ana Forrest ครับ อดไม่ได้ที่จะต้องขอถ่ายภาพคู่กับเธอ จากนั้นพวกเราก็ไปหาอะไรรับประทานกัน และนำของไปเก็บที่โรงแรม ก่อนที่จะไปช้อปปิ้งต่ออีกที่ย่าน มองก๊อก เพื่อซื้อของฝากให้กับคนทางบ้าน

หลังจากเดินซื้อของที่ มองก๊อกได้พักใหญ่ พวกเราก็กลับที่พัก เพื่อเตรียมแพ็คของจัดกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองไทยในเช้าวันรุ่งขึ้น

บ๊าย...บาย...ก่อน สำหรับ Asia Yoga Conference 2010 สำหรับปีหน้า ก็ยังบอกไม่ได้เหมือนกัน ว่าเราจะมาที่นี่กันอีกไหม แต่ทุกครั้งที่ผมมาที่นี่ บอกตรงๆเลยว่าผมจะได้รับความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับโยคะและการใช้ชีวิตเสมอๆ มันเปรียบเสมือนการได้มา ชาร์จแบตเตอร์รี่ประจำปีของผมเลยก็ว่าได้ครับ

ผมก็ขอตั้งปณิธานว่า จะนำความรู้ที่ได้รับมานี้ มาถ่ายทอดต่อให้กับนักเรียนของผม และผู้ที่สนใจฝึกโยคะทุกๆคน ในเมืองไทยตามกำลังความสามารถของผม

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ


วันที่สาม สำหรับ Asia Yoga Conference 2010.

วันที่สาม สำหรับ Asia Yoga Conference 2010.

วันนี้(อาทิตย์ที่ 16 พ.ค. 2553)เป็นความเคยชินที่พวกเราจะต้องตื่นกันตั้งแต่ 6.30น.โดยประมาณ เพื่อเตรียมตัว อาบน้ำ หาอะไรง่ายๆที่เตรียมามจากเมืองไทยรับประทานรองท้อง แล้วก็ออกเดินเท้าไปที่ Hong Kong Exhibition & Convention Center เหมือนดังเช่นทุกวัน วันนี้ดูถนนจะโล่งเป็นพิเศษเพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คนเข้าคลาสก็คงไม่น้อยเช่นกัน เราจึงควรจะไปจับจองที่ทำเลดีๆในคลาสที่เราจะเข้าก่อน อันนี้ใครมาถึงก่อนก็จะได้ที่ดีๆก่อน

(Sri Dharma Mittra & Jimmy)

คลาสแรก ของวันที่สาม เราแบ่งกันออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มของผู้หญิงจะไปเรียน Yin & Yang Yoga กับ Simon Low ส่วนผู้ชายทั้งสามคน ไปเรียน Master Class กับ Sri Dharma Mittra ก็ออกแรงกันแต่เช้าเลยครับสำหรับกลุ่มผู้ชาย ถือว่าท่านเป็นครูสอนโยคะอาวุโสสุดที่ได้รับเชิญมาในงานนี้ คนเรียนเต็มห้องครับ ดูจากสายตาแล้ว คนในห้องเรียนมากกว่า 100 คนแน่ๆ จากการกะด้วยสายตา เราทั้งสามคน เข้าไปในห้องก็แทบจะไม่เหลือที่ให้นั่งแล้วครับ ต้องไปนั่งอยู่ แถวหลังสุดๆของห้อง ไม่ห่างจากเรามากนักผมเห็น Master David Moreno ก็มานั่งเรียน ในคลาสนี้ด้วย ก็โหด มัน ฮา ดีครับ บอกได้คำเดียวว่า ท่านแข็งแรงมากๆ ครับ คนในวัยเดียวกันกับท่านคงไม่มีใครทำได้แบบท่านอย่างแน่นอน สอนเสร็จเสียงปรบมือดังกึกก้องครับ มีแต่คนมาลุมล้อมขอถ่ายรูปและลายเซนต์จำนวนมากพอดู


(Twee Merrigan & Jimmy)

คลาสที่สอง ของวันที่สาม ส่วนใหญ่เราไป เข้าเรียนเรื่อง 840,000 posture-bilities โดย Twee Merrigan เธอเป็นศิษย์เอกของ Shiva Rea ครับ ปีที่แล้วผมก็เคยเรียนกับเธอครับ เธอเป็นผู้หญิงแข็งแรง ออกแนวไฮเปอร์นิดๆครับ สอนสนุกน่าสนใจน่าติดตาม เธอมาถึงก็บอกให้พวกเราเก็บเสื่อ ใช้พื้นห้อง สร้างจินตนาการว่าทุกหนทุกแห่งในโลกนี้เราสามารถฝึกโยคะได้หมด ไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกอยู่บนเสื่อโยคะเพียงอย่างเดียว และทุกการเคลื่อนไหวของเราก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของท่วงท่าแห่งโยคะ ในคลาสของเธอวันนี้พวกเราจึงได้ร่ายรำด้วยท่าต่างๆที่ไม่เคยทำ เป็นการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ตามแบบของFlow Yoga สนุกมากครับคลาสนี้ จากการได้พูดคุยกับเธอหลังจากจบคลาส เธอจำผมได้ครับ เนื่องจากFacebook อีกอย่างก็คือมีผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่เข้าเรียนในคลาสของเธอ และก็มีความเป็นไปได้สูงมากครับ ที่เธอจะมาเปิดเวิร์คช้อปที่เมืองไทยในช่วงปลายปีนี้

พักกลางวัน วันนี้ผมมีธุระที่ทางสถาบันฟิตฝากให้ผมมาทำที่ฮ่องกง ผมจึงแยกไปทำธุระและทานข้าวลำพังคนเดียว พอเสร็จธุระผมก็รีบกลับมารวมกลุ่มกับคนอื่นๆทันที


(David Moreno & Jimmy)

คลาสที่สาม ของวันที่สาม พวกเราส่วนใหญ่เรียนเรื่อง Core Strengthening กับ David Moreno คลาสนี้เน้นการทำงานของกล้ามเนื้อหน้าท้องและลำตัวเป็นหลักครับ แต่เนื่องจากผู้สอนเข้าใจว่าทุกคนคงจะรับประทานอาหารมาพอควร จึงสอนไม่โหดร้ายมากนัก สอนแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้ทุกคนเข้าใจถึงการทำงานของลำตัว ก็ได้เทคนิคหลายอย่างเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวและหน้าท้องครับ

(Andrey Lappa & Jimmy เขาจะใส่เสื้อผ้าตามสีประจำวันนั้นๆครับ)

คลาสสุดท้าย ของวันที่สาม พวกเราส่วนใหญ่เข้าเรียนกับ Andrey Lappa , Univesal Vinyasa Yoga เป็นคลาสวินยาสะที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเขาแน่ๆ บอกเลยว่าเทคนิคแบบนี้หาเรียนยากมากครับ พอเรียนกับเขาแล้ว ทำให้ผมอดคิดถึง Simon Borg Olivier ไม่ได้ครับ เพราะเป็นเทคนิคที่เขาสอนไม่เหมือนครูโยคะคนอื่นๆ แต่อธิบายได้อย่างชัดเจนว่าทำไปทำไม ควรเคลื่อนไหวอย่างไร ใช้หลักการอย่างไรสำหรับแนวในการเคลื่อนที่ การเรียนกับ Andrey Lappa เราควรจะต้องใช้เสื่อสองผืนปูเป็นรูปเครื่องหมายกากบาทครับ เขาจะมีเทคนิคในการจัดแนวการเคลื่อนที่แบบแปลกๆไม่เหมือนใครครับ ท่าที่ทุกคนต่างกล่าวขานกันก็คือท่าที่ใช้ในการเปิดข้อต่อที่บริเวณหัวไหล่ครับ เป็นท่าที่สะใจมากๆ และวันนี้เขาก็สอนเกินเวลาคล้ายๆกับวันที่พี่สุธรรมเข้าเรียนเมื่อวันก่อนเลยครับแต่ทุกคนก็ยินดีไม่มีปัญหาอะไรเลย

วันนี้พวกเราฝึกหนักกันพอควร หลังจากเสร็จคลาสแล้ว ก็ไปนั่งทานข้าวราดแกงร้านประจำของพวกเราที่อยู่ไม่ไกลจากที่จัดงานมากนัก แล้วก็รีบกลับไปพักผ่อน (แต่ก็มีสาวบางคนไปช้อปปิ้งครับ)

พรุ่งนี้ก็จะเข้าสู่วันสุดท้ายของ Asia Yoga Conference 2010 แล้วล่ะครับ เวลาที่นี่ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พวกเราทุกคน ยังรู้สึกสนุกและมีความสุขกับการได้ฝึกโยคะแบบจริงๆจังๆ มีความสุขกับการได้พบเพื่อนชาวต่างชาติที่ชื่นชอบโยคะเหมือนกันกับพวกเรา หวังว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นประสบการที่ยิ่งใหญ่ ที่จะทำให้พวกเรานำกลับไปพัฒนาการสอนของพวกเราให้ดียิ่งๆขึ้นไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันที่สอง สำหรับ Asia Yoga Conference 2010.

วันที่สอง สำหรับ Asia Yoga Conference 2010.

วันนี้(เสาร์ที่ 15 พ.ค. 2553) พวกเราทุกคนตื่นขึ้นมา พร้อมกับความปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อนิดหน่อย แต่ในจิตใจของพวกเราทุกคนต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พร้อมที่จะเข้าสู่วันที่สองของ Asia Yoga Conference 2010. ผม พี่สุธรรมและปอนด์ ซึ่งพักห้องเดียวกัน ตื่นเตรียมตัวแต่เช้า ทานอาหารที่เราเตรียมมาจากเมืองไทยรองท้องเล็กน้อย ก่อนที่เราจะเดินทางไปเข้าคลาสแรกของวันนี้ วันนี้เนื่องจากเป็นวันหยุด ผู้คนในท้องถนนดูจะลดน้อยลงไปจากเมื่อวานนี้พอสมควร แต่คนที่มาเข้าร่วมงาน ดูเหมือนจะมีจำนวนมากขึ้นเพราะมีชาวฮ่องกงที่หยุดงานในวันนี้มาเรียนมากมาย

(Patrick Creelman & Jimmy)

(จิมมี่, ปอนด์, Patrick, คุณเอ, เปิ้ล และพี่มุ)

คลาสแรก สำหรับวันที่สองของงาน พวกเราเข้าคลาส The Perfect Classของ Patrick Creelman ฝรั่งรูปร่างกระทัดรัด เขาเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของ John Friend แน่นอนครับเขาสอนในสไตล์ Anusara Yoga ครับ ปัจจุบัน Patrick Creelman สอนคลาสและเป็น โยคะมาสเตอร์ให้กับ Pure Yoga Hong Kong ในคลาสนี้เขาก็จะบอกถึงองค์ประกอบต่างๆสำหรับการที่จะทำให้คลาสโยคะนั้นสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ ซึ่งหลายๆอย่างเป็นเรื่องที่ผมทราบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการทราบว่าเขาจะมีรูปแบบอะไรที่แตกต่างจากที่ผมเคยใช้สอน แต่ก็พอจะได้แนวคิดใหม่ๆจากเขาพอสมควร สาวๆที่ไปเข้าคลาสกับเราดูท่าทางจะชอบลีลาการสอนของ Patrick อยู่ไม่น้อย


(Jimmy & Paul Dallaghan)

คลาสที่สอง ของวันที่สอง พวกเราเข้าเรียน Introduction to second series with breath กับ Paul Dallaghan เขาสอนสไตล์อัษฎางคโยคะ ซึ่งเขาได้รับการรับรองจากท่าน ศรี เค ปัฐภี โชอิส โดยตรง Paul มาตั้งรกรากอยู่ที่เกาะสมุย ของประเทศไทยเรา เขามีภรรยาเป็นชาวไทย Paul Dallaghan ค่อนข้างจะโดดเด่นในท่าฝึกแบบอัษฎางคโยคะ และปราณยามะซึ่งได้รับการถ่ายทอดโดยตรง จากท่าน ศรี โอ พี ทิวารี(ผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในการสอนปราณยามะ) คลาสนี้เน้นการเคลื่อนไหวตามสไตล์ของอัษฎางคโยคะให้สอดคล้องสัมพันธ์กับการหายใจ โหด มัน ฮา สนุกดีครับ บุคลิกในการสอนของเขาในคลาสนี้ดูจะแตกต่างกับเวลาที่เขาสอนปราณยามะอย่างสิ้นเชิง เพราะเวลาที่เขาสอนปราณยามะดูจะเงียบสงบมากๆ
ทุกคนสนุกมากๆแต่ก็ใช้พลังไปมากมายเช่นกัน

พักกลางวัน วันนี้มีเวลาถึง2ชั่วโมง สำหรับการพักกลางวัน ผมจึงพาทุกคนเดินไปทานข้าวราดแกงเจ้าประจำ ที่ผมมักมากินที่นี่ทุกครั้ง ที่มา Asia Yoga Conference เพราะราคาย่อมเยาว์ที่สุด ดูน่ากินมากที่สุดในย่านนี้ ราคาข้าวราดกับ2อย่าง 22 ดอลล่าฮ่องกง ก็ เกือบๆ 100 บาทของไทยล่ะครับ(อันนี้ถือว่าราคาถูกที่สุดแล้วครับ) หลังจากนั้นพวกเราก็กลับมาเดินย่อยอาหารโดยการเดินดูร้านขายของในงาน


(บรรยากาศในคลาสของ Sandhi Ferriera)

คลาสที่สาม ของวันที่สอง พวกเราได้มีโอกาสกลับมาเรียนกับ Sandhi Feriera อีกครั้งหนึ่ง ในหัวข้อ Inversion Immersion พวกเราทุกคนก็ได้ทำแฮนด์สแตนด์กันอย่างสนุกสนาน ไต่ฝาผนังกันเป็นมนุษย์แมงมุมเลยล่ะครับ



(Jimmy & Jason Crandell)

(พี่มุ, เปิ้ล, Jason, คุณอ้อม และปอนด์)

คลาสสุดท้าย ของวันที่สอง พวกเราเข้าเรียนเรื่อง Effortless Arm Balances กับ Jason Crandell ก็เป็นเรื่องของ อาร์มบาลานซ์ล้วนๆครับ แต่เขามีเทคนิคการสอนที่ดี สนุกสนาน การจัดท่าที่ใช้ในการมาสอนและการพรีเซนต์ท่าต่างๆ ถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว แตกต่างกับคลาสที่ผมเคยเข้าเรียนกับเขาเมื่อ 2ปีที่แล้วอย่างชัดเจน สาวๆที่ไปกับเราทั้งหมดต่างก็ชื่นชอบในการสอนของเขา พอคลาสจบเขาได้รับเสียงปรบมือ กึกก้อง มีคนเข้าไปขอถ่ายรูปกับเขาเยอะเหมือนกัน ในขณะที่พวกเราเดินไปรอที่จะถ่ายรูปกับเขา เมื่อเขาเห็นหน้าผม เขาก็ร้องทักทายทันทีว่า เจอผมในFacebook บ่อยมาก และผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เขายอมรับเข้ามาเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊คของเขา(จริงๆแล้ว อยากบอกทุกๆคนว่า ที่เห็นบ่อยๆในเกมส์ Farm Ville นั้น ภรรยาผมเขานำรหัส ล็อก อิน ของผมไปใช้เล่นเกมส์ครับ เขาบอกว่าผมมีเพื่อนเยอะดี จึงทำให้คนที่รู้จักผมหลายๆคนคิดว่าผมบ้าเกมส์มาก ไม่มีงานสอนหรืออย่างไร จริงๆ คนที่บ้าเล่นเกมส์คือภรรยาของผมเองครับ)

ประมาณ19.00น.พวกเราส่วนใหญ่ ก็ออกมานั่งรอกันที่จุดนัดพบ ก็เหลือพี่สุธรรมอีกคนหนึ่ง ที่ยังเรียนไม่จบ เพราะพี่เขาไปเรียนคนละคลาสกับพวกเรา พี่สุธรรมเข้าเรียนกับ Andrey Lappa ซึ่งคลาสจะเลิกทีหลังพวกเรา ครึ่งชั่วโมง เรารอไปจนถึงประมาณ 20.00น.เห็นพี่สุธรรมยังไม่ออกมาก็พยายามโทร.ตาม พี่เขาก็ไม่รับสาย ซึ่ง ณ ขณะนั้นหลายคนในกลุ่มของพวกเราเริ่มจะทนหิวไม่ไหวแล้ว เราจึงล่วงหน้าไปหาอะไรกินกันก่อน พอเราทานกันเสร็จเรียบร้อยก็เวลาประมาณ 20.30น.จึงโทรหาพี่สุธรรมอีกครั้งหนึ่ง พี่เขารับสายแล้วพูดเหมือนแอบๆพูดบอกว่าใกล้จะเสร็จแล้ว กว่าพี่สุธรรมจะเสร็จจากคลาสพวกเราก็ถึงโรงแรมกันแล้วล่ะครับ สรุปแล้ว Andrey Lappa สอนเกินเวลาไปประมาณ 1ชั่วโมง พี่สุธรรมกลับมาถึงห้องด้วยอาการหิวพอประมาณ ในขณะที่ผมกำลังจะออกไปซื้อของข้างนอก ส่วนปอนด์ก็กำลังจะนอนเพราะเพลียจากคลาสในวันนี้  พี่สุธรรมบอกผมกับปอนด์ว่า คลาส Andrey Lappa ดีมากๆสอนเกินเวลาเยอะเลย แต่ก็ได้เทคนิคมาเยอะเลยล่ะ...

เวลาที่ฮ่องกง นี่ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน แป๊บเดียว Asia Yoga Conference 2010 ก็ผ่านไปแล้ว 2วันแล้ว ผมคิดว่าวันพรุ่งนี้ คลาสต่างๆที่เราจะเข้าเรียนก็คงสนุกน่าสนใจ ไม่แพ้กับ 2วันที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันแรก สำหรับ Asia Yoga Conference 2010.

(เปิ้ล, พี่มุ, ปอนด์ และจิมมี่ กับบรรยากาศด้านหน้าจุดลงทะเบียนเข้างานวันแรก)

วันแรก สำหรับ Asia Yoga Conference 2010.

วันนี้(ศุกร์ที่ 14 พ.ค.2553)พวกเราทุกคนตื่นแต่เช้า พร้อมกับความตื่นเต้นที่จะออกเดินทางเข้าสู่ Hong Kong Exhibition & Convention Center ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างก็เดินทางมาที่นี่ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน เป็นบรรยากาศที่คึกคักมากๆ ทุกคนต่างเดินหอบหิ้วเสื่อโยคะมาด้วยความกระตือรือร้น ก็มีคนจำนวนหนึ่งมายืนเข้าแถวเพื่อรับบัตรเข้างาน
(บรรยากาศ การเข้าแถวรับบัตรเพื่อเข้างาน)

การที่เราจะผ่านเข้าไปในห้องเรียนนั้น เราจะต้องผ่านเจ้าหน้าที่หน้าห้อง โดยการแสดงบัตรเข้างาน การที่เราจะไปไหนมาไหนในบริเวณงาน เราก็จะต้องนำบัตรนี้มาคล้องคอไว้เสมอๆ บุคคลไหนที่ไม่มีบัตร ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าเรียนครับ

(Sean Corn & Jimmy)

คลาสแรก ของAsia Yoga Conference 2010 ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่เข้าเรียน คือคลาสของ Sean Corn ผู้หญิงที่สอนโยคะจากหัวใจ ในสไตล์ Vinyasa Flow เป็นครูโยคะอีกคนหนึ่งที่ผมอยากจะเรียนด้วยมากๆ เธอเป็นลูกศิษย์ของ Sharon Gannon & David Life แห่ง  Jivamukati Yoga  คลาสแรกวันนี้เธอสอนเรื่อง Detox Flow คนเข้าเรียนคลาสนี้คึกคักมากเลยครับคงเป็นเพราะชื่อเสียงจากการสอนของเธอที่โด่งดังไปทั่วโลก เท่าที่ผมประเมินด้วยสายตาก็น่าจะประมาณเกือบ 100คน คลาสนี้ใช้เวลา 2ชั่วโมง ใช้พลังพอสมควรเลยล่ะครับเพราะเป็นการนำเอาเรื่องของการ ดีท๊อกซ์มาผสมผสานกับ วินยาสะโยคะ ก็เหงื่อออกเยอะมากจนทำให้ผมต้องถอดเสื้อฝึกในคลาสนี้(กางเกงไม่ได้ถอดนะครับ)  ต้องยอมรับเลยว่าการสอนของเธอมีพลังมากๆ ทั้งน้ำเสียง สีหน้าแววตา และการส่งต่ออารมย์ความรู้สึกให้กับผู้เรียน ทำให้พวกเราทุกคนที่เข้าคลาสของเธอ รับรู้ถึงพลังเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ พอจบคลาสก็แน่นอนครับ เสียงปรบมือดังลั่นกึกก้อง


(Sandhi Ferriera & Jimmy)

คลาสที่สอง ของวันนี้ พวกเราส่วนใหญ่เข้าคลาสของ Sandhi Ferriera คนนี้ผมไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่ จึงถือว่าเป็นการทดลอง เข้าไปเรียนกับเธอ แต่แน่นอนครับชื่องานเป็นเครื่องการันตี งานนี้ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะมาสอน ต้องเป็นครูโยคะขั้นเทพ ระดับตำนานมีชีวิตทั้งนั้นถึงจะถูกเชิญมาสอน Sandhi Ferriera เป็นลูกศิษย์ของ Sharon Gannon & David Life เธอ คือ Senoir Jivamukati Yoga Teacher ซึ่งเธอสอนเรื่อง Hand Gliding : The keys to unlocking arm balancing. เธอร่าเริงสอนด้วยความสนุกสนาน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ตลอดเวลาที่สอน เป็นเทคนิค Arm Balance ที่เหมาะกับสุภาพสตรีครับ แต่ผู้ชายก็เรียนได้เช่นกันครับ สรุปคลาสนี้ได้ควารู้และสนุกสนานครับ

วันนี้ช่วงพักกลางวัน เรามีเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เราจึงวางแผน เตรียมของไปทำแซนวิช โดยยกหน้าที่ให้ปอนด์เป็นฝ่ายสวัสดิการ จัดเตรียมของ มาสำหรับมื้อกลางวัน ของวันนี้


(พี่สุธรรม, Andrey Lappa และผม)

(Master Twee Merrigan & Jimmy ในคลาสของ Andrey Lappa)

(Jimmy & Master Dylan Bernstein ในคลาสของ Andrey Lappa)

คลาสที่สาม ของวันนี้ พวกเราส่วนใหญ่เข้าคลาสของ Andrey Lappa ตำนาน Universal Yoga ชาวโซเวียต ซึ่งนำศาสตร์และศิลป์ของอายุเวทมารวมกับโยคะทุกแขนงที่เขาได้เรียนมาเข้าไว้ด้วยกัน อย่างเหมาะสมลงตัว เป็นคลาสที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยครับ ผมให้ฉายาเขาว่าโดเรม่อนแห่งวงการโยคะ(อ้วนพลิ้ว) เนื่องจากรูปร่างของเขาค่อนข้างท้วมกลมผมสกรีนเฮด การสอนของเขามีรูปแบบที่แตกต่างจากคนอื่นชัดเจนมากๆ แต่บอกเหตุผลได้อย่างมีหลักการ จึงเป็นโยคะอีกแนวหนึ่งที่ผู้ฝึกโยคะหลายต่อหลายคน ค่อนข้างจะให้ความสนใจมากๆ ในงานนี้ และในคลาสนี้ผู้ที่นั่งเรียนแถวหลัง นอกจากจะมีผมแล้วก็มี Yoga Master อีก สามคน ที่นั่งอยู่ในแถวเดียวกันกับผม  คือ 1.Twee Merrigan (ลูกศิษย์ของ Shiva Rea) ซึ่งในงานนี้เธอก็เป็นวิทยากรมาสอนด้วย 2. Dylan Berntein สมัยก่อนชายหนวดงามคนนี้เคยฝึกและสอนโยคะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ปัจจุบัน เขาเป็นโยคะมาสเตอร์อยู่ที่ Pure Yoga Hong Kong ส่วนคนที่สามผมไม่รู้จักชื่อของเขา แต่ดูจากทักษะแล้วระดับเทพเหมือนกัน ซึ่งต้องเป็นระดับ โยคะมาสเตอร์อย่างแน่นอน ดังนั้นคลาสนี้เป็นคลาสค่อนข้าง แอ๊ดว๊านซ์ นักเรียนแถวหลังทั้งแถวระดับเทพทั้งนั้น(ยกเว้นผม) ก็ได้ความรู้ใหม่และแนวทางใหม่ๆของการฝึกโยคะในแบบของ Andrey Lappa


(Jimmy & Master Simon Low)
(ภาพ ขณะ Simon Low ขณะกำลังสอนในคลาส)
คลาสสุดท้าย สำหรับวันแรกของพวกเรา คือ Lunar Yoga Practice for Evening ของ Simon Low เขาสอนในสไตล์ Yin Yoga จัดท่าและค้างท่าไว้นานๆ หลายต่อหลายคนให้ความสนใจในคลาสนี้อย่างมากครับ เพราะไม่ยากแต่ต้องใช้เทคนิคและวิธีการในการสอนพอสมควรครับ มีอยู่ท่าหนึ่งทำให้ผมถึงกับหลับค้างไปกับท่านั้นเลยล่ะครับ เป็นคลาสที่ได้เทคนิคในการผ่อนคลายดีครับ

วันนี้พวกเราทุกคนถือว่า ฝึกโยคะกันอย่างเข้มข้นพอสมควร พอพวกเรากลับสู่ที่พักก็รีบหารับประทานอาหารพักผ่อนทันที เพื่อเตรียมพร้อมเข้าคลาสในวันรุ่งขึ้น

ขอให้พรุ่งนี้พวกเราทุกคนตื่นขึ้นมาพร้อมกับพลังอันเต็มเปี่ยม เพื่อเข้าสู่วันที่สองของมหกรรมโยคะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com.โดยค้นหาจาก e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger