เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Come Fly & Float with David Swenson in Bangkok Weekend Workshop 2011.เวิร์คชอฟครั้งแรกในเมืองไทย ของสุดยอดครูอัษฏางคโยคะระดับโลก เดวิด สเวนสัน


Come Fly & Float with David Swenson in Bangkok Weekend Workshop 2011.
เวิร์คชอฟครั้งแรกในเมืองไทย ของสุดยอดครูอัษฏางคโยคะระดับโลก เดวิด สเวนสัน.

ข่าวดีสำหรับสาวกโยคะทุกๆท่านครับ วันเสาร์ที่9 และอาทิตย์ที่10 เมษายน 2554 เวลาตั้งแต่ 8.00-17.30น. เดวิด สเวนสัน สุดยอดครูอัษฏางคโยคะระดับโลก จะเดินทางมาเปิดเวิร์คชอฟสุดสัปดาห์เป็นครั้งแรกในเมืองไทย ด้วยการประสานงานของผม, ฟิตสตูดิโอ และสถาบันฟิต ถือเป็นข่าวดีมากๆครับหลังจากที่ต้องเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน(สำหรับผม)

เดวิด สเวนสัน เริ่มฝึกโยคะตั้งแต่เยาว์วัย โดยเริ่มฝึกโยคะครั้งแรกตอนอายุ 13ปี(ค.ศ.1969) โดยมีพี่ชายของเขาด๊อท สเวนสัน เป็นครูคนแรก ทั้งคู่เริ่มฝึกโยคะด้วยกันจากหนังสือหฐะโยคะเล่มหนึ่งซึ่งทั้งคู่จำไม่ได้แน่ชัดว่าหนังสือเล่มนั้นชื่ออะไร

เดวิด สเวนสัน เริ่มฝึกโยคะในสไตล์อัษฏางคโยคะครั้งแรก ปี ค.ศ.1973 เมื่อได้พบกับเดวิด วิลเลี่ยม และแนนซี่ กิลก๊อฟฟ์ ในแคลิฟอร์เนีย(เดวิด วิลเลี่ยม เป็นชาวอเมริกัน คนแรก ที่เดินทางไปเรียนอัษฏางคโยคะโดยตรงจากท่านศรี เค ปัตตาภิ โชอิส ที่มายซอร์, อินเดีย) และในปี ค.ศ. 1975 เดวิด วิลเลี่ยม และ แนนซี่ กิลก๊อฟฟ์ ได้เชิญ ท่าน ศรี เค ปัตตาภิ โชอิส มาสอนโยคะในอเมริกา และเป็นครั้งแรกที่เดวิด สเวนสัน ได้เรียนอัษฏางคโยคะโดยตรงจากท่านศรี เค ปัตตาภิ โชอิส หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1977 เดวิด สเวนสันจึงตัดสินใจครั้งสำคัญเดินทางสู่มายซอร์, อินเดีย เป็นครั้งแรกเพื่อเรียนโยคะโดยตรงจากท่านศรี เค ปัตตาภิ โชอิส อย่างจริงจัง

ปัจจุบันเดวิด สเวนสัน ถือเป็นผู้ฝึกโยคะและครูอัษฏางคโยคะ ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกโยคะและครูสอนโยคะทั่วโลก

อย่างที่ผมเคยเล่าให้ได้อ่านกันบ้างแล้วในบทความเรื่อง แรงบันดาลใจและสไตล์การฝึกโยคะ ครูเดวิด สเวนสัน เป็นแรงบันดาลใจแรกที่สำคัญมากๆในการทำให้ผมหันมาฝึกวินยาสะโยคะอย่างจริงจังจนถึงทุกวันนี้ จากการที่ผมได้ดูดีวีดีอัษฏางคโยคะของครูเดวิด สเวนสัน ถึงขั้นทำให้ผมต้องเก็บเงินบางส่วนจากการสอนโยคะของผมเพื่อเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปเข้าร่วมเวิร์คชอฟกับครูโยคะคนนี้

(ครูจิมมี่และครูเดวิด สเวนสัน, เอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ ฮ่องกง 2008)

ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเข้าเรียนกับครูเดวิด สเวนสัน ก็คือ เอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ 2008 ที่ประเทศฮ่องกง หลังจากที่จบคลาสตอนนั้น ต้องบอกตรงๆเลยว่าผมรู้สึกคุ้มค่าและประทับใจมากๆ ไม่เสียดายเงินที่เก็บสะสมมาเป็นแรมปี เขามีบุคลิกการสอนเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร เป็นกันเอง อารมณ์ดี มีการทำให้ผู้ฝึกได้ฮากันเป็นระยะๆ ด้วยลีลาท่าทางประกอบการสอนที่สนุกสนาน จึงทำให้ผมคิดเลยเถิดไปว่าน่าจะเชิญเขาเข้ามาเปิดเวิร์คชอฟในเมืองไทยให้ได้ เพราะลีลาการสอนแบบนี้คนไทยต้องชอบแน่ๆได้เทคนิคความรู้และไม่เครียด(ซึ่งถ้าจะพูดไปแล้ว สไตล์การสอนแบบคลายเครียดนี้ผมก็สอนอยู่ในแนวนี้เช่นกัน) หลังจากนั้นผมก็พยายามติดต่อกับครูเดวิด สเวนสัน โดยตลอดและเฝ้าหวังลึกๆว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะมีโอกาสมาสอนโยคะให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์โยคะระดับโลก ซึ่งในช่วงเวลานั้นคิวงานสอนของครูเดวิด สเวนสัน เต็มแน่นจนไม่สามารถแวะเวียนมาสอนโยคะที่เมืองไทยได้เลย

(ครูเดวิด สเวนสันและครูจิมมี่, เอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ ฮ่องกง 2009)

ครั้งที่สองที่ผมได้มีโอกาสเข้าเรียนกับครูเดวิด สเวนสัน ก็คือ เอเชียโยคะคอนเฟอร์เรนท์ 2009 ที่ประเทศฮ่องกง และหลังจากที่จบคลาสผมก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปพูดคุยและเอ่ยปากชวนให้ครูเดวิด สเวนสัน พยายามช่วยจัดเวลาเพื่อเดินทางมาสอนที่เมืองไทยของเราบ้าง ซึ่งตอนนั้นคำตอบที่ผมได้รับก็ยังไม่ชัดเจน แต่คำพูดที่ครูเดวิด สเวนสัน ทิ้งท้ายไว้ให้กับผมก็คือว่า "จิมมี่ผมยังจำคุณได้เสมอ และถ้าผมมีโอกาสสามารถจะจัดเวลามาสอนที่เมืองไทยได้ผมจะติดต่อคุณเป็นคนแรกเลย" คำพูดนั้นมันคล้ายๆจะเลือนลางหายไปจนผมเกือบจะจำไม่ได้แล้ว  แต่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เองผมก็ได้รับอี-เมล์ จากครูเดวิด สเวนสัน ว่าในปีหน้าช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงที่เขาจะมาทัวร์เอเชีย ซึ่งอยากจะแวะมาเปิดเวิร์คชอฟสุดสัปดาห์ที่เมืองไทยสักสอง-สามวัน และให้ผมช่วยเป็นผู้ประสานงานให้ และนี่คือคำมั่นสัญญาที่ครูเดวิด สเวนสัน ให้ไว้กับผมและเขายังไม่เคยลืม(ผมเสียอีกที่เฝ้ารอนานเสียจนเกือบลืมไปแล้ว) นี่คือความพยายามที่ครูโยคะชาวไทยอย่างผมเฝ้ารอคอยมาอย่างยาวนาน และรู้สึกปลื้มใจ ดีใจแทนสาวกโยคะชาวไทยทุกๆคนจนแทบจะอดใจรอให้ถึงเดือนเมษายนไม่ไหวแล้ว

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับครูเดวิด สเวนสัน ได้ที่ www.ashtanga.net

สามารถดูคลิ๊ปการสาธิตท่าฝึกอัษฎางคโยคะขั้นสูง ของครูเดวิด สวเนสัน ได้ที่ลิ๊งด้านล่างนี้เลยครับ
http://www.youtube.com/watch?v=-xeWmcXbmBY




งานนี้จะจัดขึ้น ณ โรงแรมจัสมิน ซิตี้ , ห้องซากูระ ชั้นแอล (อโศก, สุขุมวิท 23)  ซึ่งเวลาและหัวข้อในการสอนมีดังต่อไปนี้

เสาร์ที่ 9 เมษายน 2554
8:00 – 9:30 am. ASHTANGA YOGA: AN INTRODUCTION
Exploring the Fundamentals
ปฐมบทแห่งการฝึกอัษฏางคโยคะ

10:00 – 12:00 am. ALL ABOARD THE ASHTANGA TRAIN
Yoga Chikitsa: A Fully Conducted Primary Series Class
การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ด้วยท่วงท่าของอัษฏางคโยคะขั้นพื้นฐาน

1:30 – 3:30 pm. FLYING FLOATING AND HANDSTANDING
A Fun-filled exploration of Vinyasa and Arm-balances
เทคนิคของการลอยตัวและการฝึกท่าแฮนด์สแตนด์

4:00 – 5:30 pm. BREATH, BANDHAS AND PRANAYAMA
Exploring the Mantra of Ujjayi and the Mysteries of Energy Locks
มนตร์ขลังของลมหายใจแบบอุชชายีและความลี้ลับของการฝึกพันธะ

อาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2554
8:00 – 9:30 am. NADI SHODANA / A GUIDED TOUR
An Introduction to the Intermediate Series of Ashtanga Yoga
การก้าวไปสู่การฝึกอัษฏางคโยคะในขั้นกลาง

10:00 – 12:00 am. CHAKRASANA AND JUMPING BACK
A Detailed Look at the Elements of Backward Rolling and Jumping In Reverse
เทคนิคของการม้วนหลังไปสู่ท่าจักราสะนะและการกระโดดถอยหลัง(จั๊มพ์แบ็ค)

1:30 – 3:30 pm. INVERSIONS, BACKBENDS AND SITTING WITH YOUR BREATH
Finding Stability When the World is Inverted and Returning Home to Breath
ค้นหาสมดุลย์ของร่างกายในเวลาที่ฝึกอาสนะท่ากลับหัวและท่าโค้งหลัง รวมจนถึงแนวทางในการฝึกลมหายใจอย่างง่ายๆด้วยตัวเราเอง

4:00 – 5:30 pm. EIGHT LIMBS AND DAILY LIFE
How does this practice apply within the context of daily living?
การนำ มรรค 8 แห่งโยคะ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประวันของเรา


ค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียน(ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ลงทะเบียน) มีดังต่อไปนี้

ลงทะเบียน ก่อน 31ธันวาคม 2553 
สมัครเข้าเวิร์คชอฟแบบ 2วัน ราคาพิเศษสุดๆเพียง 6,900 บาทเท่านั้น
(ช่วงเวลานี้ยังไม่เปิดลงทะเบียน แบบวันเดียวและครึ่งวัน)

ลงทะเบียน ตั้งแต่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2554 
สมัครเข้าเวิร์คชอฟแบบ 2วัน   ราคา 7,500 บาท
(ช่วงเวลานี้ยังไม่เปิดลงทะเบียน แบบวันเดียวและครึ่งวัน)

ลงทะเบียน ตั้งแต่ 16 กุมภาพันธ์ - 10 มีนาคม 2554 
สมัครเข้าร่วมเวิร์คชอฟแบบ 2วัน ราคา 8,500 บาท
สมัครเข้าร่วมเวิร์คชอฟแบบ 1วัน ราคา 4,500 บาท
(ช่วงเวลานี้ยังไม่เปิดลงทะเบียน แบบครึ่งวัน)

ลงทะเบียน ตั้งแต่ 11 มีนาคม - 10 เมษายน 2554 
สมัครเข้าร่วมเวิร์คชอฟแบบ 2วัน ราคา 9,500 บาท
สมัครเข้าร่วมเวิร์คชอฟแบบ 1วัน ราคา 5,800 บาท
สมัครเข้าร่วมเวิร์คชอฟแบบ ครึ่งวัน ราคา 3,900 บาท

ดังนั้นหากเรามีการวางแผนในการสมัครล่วงหน้าอย่างรวดเร็วก็จะยิ่งราคาย่อมเยาว์

(อาคาร Jusmine City ปากซอยสุขุมวิท23 สถานที่จัดงานครั้งนี้) 

สำหรับคำถามที่อาจจะอยู่ในใจคุณ?

ห้องที่ใช้ในการอบรม ขนาดพื้นที่สามารถจุผู้เข้าร่วมเวิร์คชอฟได้ประมาณ 80 คน

ราคาค่าลงทะเบียนดังกล่าวนี้ไม่มีอาหารและเครื่องดื่มให้

ผู้เข้าร่วมเวิร์คชอฟต้องเตรียมเสื่อโยคะและอุปกรณ์ต่างๆในการฝึกส่วนตัวมาเอง(หรือมาหาซื้อที่งาน)

มีเจ้าหน้าที่ช่วยแปลภาษาไทยในคลาส สำหรับชาวไทยที่ไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษ

มีบู๊ทจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับโยคะ ประมาณ 5- 6 บู๊ท(หากสนใจออกบู๊ทกับเราก็รีบติดต่อเข้ามาได้เลยครับ มีพื้นที่จำนวนจำกัด)

ไม่ได้ลงทะเบียนก็มาซื้อของ หรือเดินดูสินค้าในงานได้ แต่ไม่อนุญาตให้เข้าห้องฝึกอบรม

หากเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS มาลงที่สถานีอโศก, หากเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน MRT ลงที่สถานีสุขุมวิท

การนำรถยนต์ส่วนตัวมา จอดได้ฟรีตลอดทั้งวัน โดยนำบัตรจอดรถมาประทับตราที่โต๊ะลงทะเบียนหน้าห้องที่ใช้จัดกิจกรรมเวิร์คชอฟ

ในกรณีที่สมัครลงทะเบียนเข้าร่วมเวิร์คชอฟแล้ว การโอนสิทธิ์ ทำได้ แต่ต้องส่งรายชื่อผู้ที่จะมาใช้สิทธิ์แทนให้กับทางฝ่ายจัดงาน อย่างน้อย 5วัน ก่อนเริ่มกิจกรรม

การขอเงินคืนหลังจากที่สมัครลงทะเบียนเข้าร่วมเวิร์คชอฟแล้ว หากยื่นคำขอก่อนวันที่ 8 มีนาคม 2554 จะได้รับเงินคืน 50%จากราคาที่ลงทะเบียน และจะเสียสิทธิ์การขอรับเงินคืนถ้าขอเงินคืนหลังจากวันดังกล่าวที่กำหนดไว้

ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพ ทั้งภาพนิ่งและวีดิโอในขณะที่ครูกำลังทำการสอน(หลังจากที่ครูสอนเสร็จแล้ว การถ่ายภาพเชิญได้ตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย)

 ดาวน์โหลดใบสมัครจากเฟสบุ๊ค www.facebook.com/jimmy.yoga  โดยค้นหาจากแฟ้มภาพ David Swenson Weekend Workshop Bangkok 2011.

ซึ่งสามารถขอแบบฟอร์มการสมัครเข้าร่วมเวิร์คชอฟ และรายละเอียดเพิ่มเติมในการสมัครได้ที่
ฟิต สตูดิโอ โทร.02 650 8282 
สถาบันฟิต โทร.02 650 9242
(จันทร์-เสาร์, เวลา 9.00-17.00น.)

โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาเพลินจิต ชื่อบัญชี บริษัท ฟิต สตูดิโอ จำกัด เลขที่บัญชี 205-0-588-51-2 แฟกซ์ใบสมัครและใบโอนเงินมาที่ 02 650 9464 หรือส่ง e-mail มาที่ info@fitthai.com เพื่อยืนยันการชำระเงิน


หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงจะมีโอกาสได้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์โยคะระดับโลกในครั้งนี้ด้วยกัน

ขอพลังแห่งการฝึกโยคะจงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไปเทอญ...

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แฮปปี้เบิร์ทเดย์ ทู มี(ครูจิมมี่) 4 ธันวาคม

(เค้กที่นักเรียนคอร์สครูฝึกโยคะของผม เตรียมมาเพื่อเซอร์ไพส์)

แฮปปี้เบิร์ทเดย์ ทู มี(ครูจิมมี่) 4 ธันวาคม

4 ธันวาคม ของทุกๆปี ถือเป็นวันคล้ายวันเกิดของผมล่ะครับ เป็นวันที่คุณแม่ของผมต้องอดทนรอคอยตั้งท้องยาวนาน 9เดือน เพื่อให้ผมลืมตามาดูโลกนี้และมาเป็นครูสอนโยคะมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งนอกจากวันนี้จะเป็นวันคล้ายวันเกิดของผมแล้วก็ยังถือเป็นวันคล้ายวันเกิดของครูอุ้ม สุชาวดี เฉลิมวงศาเวช (ครูอัษฎางคโยคะหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับใบอนุญาติให้สอนโยคะ จากท่าน ศรี เค ปัฐภี โชอิส โดยตรง)อีกด้วย...สรุปกันง่ายๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ ครูโยคะฝีมือดี, หน้าตาดี เขาเกิดวันนี้กันล่ะครับ (555!) เกิดวันเดียวกันแต่คนละปีนะครับ(ผมอายุน้อยกว่าแน่นอนครับ) ก็มีอะไรหลายๆอย่างคล้ายคลึงกัน เช่น สอนโยคะเหมือนกัน เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ ของเสื่อโยคะแมนดูกะเหมือนกัน...

(ครูจิมมี่และครูอุ้ม)

โดยปกติแล้ว เนื่องจากช่วงวันคล้ายวันเกิดของผมติดต่อกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทำให้มักจะต้องหยุดงานอยู่กับครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็มักจะจัดงานวันเกิดเล็กๆกับครอบครัว แต่สำหรับปีนี้เนื่องจากต้องมาสอนนักเรียนหลักสูตรครูสอนโยคะ ที่สถาบันฟิต ซึ่งต้องสอนเต็มวันและถ้างดคลาส นักเรียนกลุ่มนี้ก็จะต้องจบคอร์สล่าช้ากว่าปกติ เนื่องจากประเทศเรามีวันหยุด ลองวีคเอ้นด์เยอะมากๆ มันก็เลยเป็นวันคล้ายวันเกิดสุดแสนพิเศษ เพราะหลายๆคนพอทราบว่าวันนี้เป็นวันพิเศษของผมก็เตรียมกันมาเซอร์ไพส์กันแบบตั้งตัวไม่ติด ส่วนใหญ่ก็จะทราบข้อมูลจากเฟสบุ๊คล่ะครับ

เริ่มด้วยเฟสบุ๊คก่อนละกัน พอพ้นเที่ยงคืนของวันที่ 3ธันวาฯ เสียงโทรศัพท์บีบี ของผมก็ดังเตือนถึงข้อความที่ส่งผ่านเข้ามาจากเฟสบุ๊คแบบไม่ขาดสาย เนื่องจากผมมีเพื่อนในเฟสบุ๊คค่อนข้างเย๊อะครับ ดังนั้นจำนวนข้อความที่ส่งมาก็เล่นเอาโทรศัพท์ของผม น๊อก แฮงค์ เอาดื้อๆเลยล่ะครับ ก็ขอกราบขอบพระคุณทุกๆข้อความคำอวยพรดีๆที่ส่งเข้ามาเกือบตลอดทั้งวันครับ สุดบรรยายเป็นคำพูดจริงๆ

มาถึงที่สถาบันฟิต ช่วงพักกลางวัน คุณซูซาน และคุณคาเมล่อน กรรมการผู้จัดการของสถาบันฟิตก็เตรียมเค้กช็อกโกแลต รูปหัวใจมาเซอร์ไพส์ล่ะครับ(สงสัยงานนี้น้องเปิ้ล รีเซฟชั่นจะคาบข่าวไปบอก) ทั้งๆที่จริงๆแล้ววันนี้ทั้งสองท่านก็ไม่มีภาระงานสอนที่สถาบัน ซึ่งปกติแล้วผมก็ไม่ป่าวประกาศวันเกิดของผมให้ใครทราบสักเท่าไรหรอกครับ ก็ไม่ค่อยอยากให้ใครเขาต้องมาคอยทำอะไรให้เราล่ะครับ เกรงใจ๋ เกรงใจ...นอกจากนี้ก็ยังมีศิษย์เก่าคอร์สครูสอนโยคะของสถาบันฟิตนัดกันมารับใบประกาศและร่วมกันอวยพรวันเกิดให้ผมด้วยล่ะครับ...ขอกราบขอบพระคุณทุกคนมากๆเลยล่ะครับ สำหรับน้ำใจไมตรีที่ทุกๆคนและสถาบันฟิตมอบให้กับผม

(ศิษย์เก่าร่วมถ่ายภาพกับผมและคุณซูซาน)

(เค้ก ที่คุณซูซานและชาวสถาบันฟิต เตรียมมาเซอร์ไพส์ผม)

หลังจากที่ผมรับประทานอาหารมังสวิรัติมื้อกลางวันที่ร้านใกล้ๆกับสถาบันฟิตของเราแล้ว ผมก็กลับมาเตรียมตัวสอนภาคบ่ายต่อ กลุ่มนักเรียนคอร์สครูสอนโยคะของผมก็รวบรวมทุนทรัพย์กันจัดของขวัญและเค้กพิเศษมาเซอร์ไพส์อีกล่ะครับ เป็นเค้กอันที่ 2ของวันนี้ล่ะครับ อันนี้ก็มาแนวโยคะเต็มที่เลยล่ะครับ ต้องทำท่า Scorpion ในการเป่าเค้กครับ (แหม! นักเรียนของผม ช่างคิดกันได้) แล้วครูจิมมี่ทำไหมครับเมื่อนักเรียนขอมา? ก็ทำสิครับ จัดไปอย่าให้เสีย... ก็สนุกๆกันทั่วหน้าล่ะครับ...ขอกราบขอบพระคุณนักเรียนทุกคนมากๆเลยล่ะครับ

(ครูจิมมี่กับลีลาเป่าเทียนเค้กวันเกิด ด้วยท่า Scorpion)

เมื่อสอนที่สถาบันฟิตเสร็จ ก็ประมาณห้าโมงเย็น ผมก็ต้องเดินทางไปสอนอีกรอบหนึ่งแถวย่านบางนา นักเรียนของผมก็เตรียมเค้กมาเซอร์ไพส์อีกละครับ เป็นอันที่ 3ของวันนี้ล่ะครับ อิ่มสุดๆ อิ่มเอมใจแบบบรรยายไม่ถูกเลยล่ะครับ...ขอกราบขอบพระคุณ สมาชิกสุดแสนน่ารักที่บางนาทุกๆท่าน นอกจากจะมาเรียนกันอย่างสม่ำเสมอแล้วก็มักมอบสิ่งดีๆให้ครูจิมมี่เสมอ...

(เค้กอันที่ 3 ที่นักเรียนโยคะย่านบางนา นำมาเซอร์ไพส์ผม)

ก็เป็นภาพความประทับใจ เนื่องในวาระวันคล้ายวันเกิดของผมที่ทุกๆคนมาร่วมกันทำให้วันธรรมดาดูจะเป็นวันสุดพิเศษมากๆสำหรับผม เป็นเหมือนพลังชีวิตที่ทำให้หัวใจผมพองโต และทำให้ผมตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า สิ่งทีผมจะสามารถทำได้เพื่อตอบแทนทุกๆคนก็คือจะต้องทำหน้าที่การเป็นครูสอนโยคะอย่างเต็มความสามารถและพัฒนามาตรฐานการสอนให้ดียิ่งๆขึ้น เพื่อทุกคนจะได้ไม่ผิดหวังในครูคนนี้(แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหวังได้มากน้อยแค่ไหน?) ขอกราบขอบพระคุณทุกๆท่าน จากใจจริงของครูสอนโยคะคนนี้ เคยได้ยินคำพูดจากโฆษณาชิ้นหนึ่งในทีวีที่เขากล่าวว่า "ผู้ให้ย่อมสุขใจกว่าผู้รับ" หากผู้ให้ทุกๆท่านมีความสุขใจกับส่งที่ทำให้ผมในวันนี้ ผมอยากบอกกับทุกๆคนว่า ผู้รับอย่างผมรู้สึกสุขใจ อิ่มเอมใจ ซาบซึ้งใจมากๆอย่างที่ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และเกินกว่าความสามารถของผมที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

ขอพลังแห่งความสุขอย่างเช่นที่ผมได้รับในวันนี้...จงอยู่กับทุกๆคนและผมตลอดไปเทอญ...

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โยคะเวิร์คชอฟ ที่พัทยา โดยครูจิมมี่

โยคะเวิร์คชอฟ ที่พัทยา โดยครูจิมมี่

อาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2553 เวลา 8.00-17.30น.
ณ โรงแรมมณเฑียร พัทยา

7.30-8.00 น.    ลงทะเบียน ณ ฟิตเนส ของโรงแรมมณเฑียร
8.00-8.15 น.    ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการฝึกโยคะ
8.15-8.45 น.    การหายใจและการฝึกสมาธิแบบโยคะในขั้นพื้นฐาน
8.45-10.15 น.  โยคะอาสนะเพื่อความผ่อนคลายทั้งกายและจิต
10.15-10.45 น. ปราณยามะและโยคะนิทรา(การหายใจและการผ่อนคลายในแบบของโยคะขั้นพื้นฐาน)
10.45-11.00 น. พัก รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม
11.00-12.00 น. กิจกรรมสันทนาการและถ่ายรูปหมู่ที่ระลึกร่วมกัน
12.00-13.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.00-14.30 น. สันทนาการช่วงบ่าย และ ฟังบรรยายเชิงวิชาการความรู้เพื่อสุขภาพ
14.30-15.00 น. พัก รับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม
15.00-17.30 น. โยคะอาสนะเพื่อความแข็งแรงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรม

แบบเต็มวัน 2,100 บาท (รวมอาหารว่างและอาหารมื้อกลางวัน)
แบบครึ่งวัน(เช้า หรือ บ่าย) 1,200 บาท (ไม่รวมอาหารกลางวัน)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
www.yoga-thaiessence.com
คุณวาสนา 081 862 0965 หรือ อีเมล์ yoga.thaiessence@gmail.com

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อัษฎางคโยคะ เวิร์คชอฟ โดย เคน ฮาราคูม่า ที่ฟิต สตูดิโอ



อัษฎางคโยคะ เวิร์คชอฟ โดย เคน ฮาราคูม่า ที่ฟิต สตูดิโอ

ฟิต สตูดิโอ ขอเชิญแฟนพันธ์แท้โยคะทุกๆท่านเข้าร่วม อัษฎางคโยคะ เวิร์คชอฟ โดย เคน ฮาราคูม่า
วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน 2553 เวลา 7.00 - 18.30น.

ณ ฟิต สตูดิโอ อาคารมหาทุนพลาซ่า (ติดสถานี รถไฟฟ้า BTS เพลินจิต)

7.00-9.00น.  อัษฎางคโยคะ มัยซอร์ สไตล์ (600 บาท)
10.00-11.30น. อัษฎางคโยคะ ไพรมารี่ ซีรี่ (800 บาท)
13.00-14.30น. ปราณยามะ และ สมาธิ (500 บาท)
15.00-16.30น. การช่วยปรับท่าฝึกโยคะอาสนะให้มีประสิทธิภาพ (800 บาท)
17.00-18.30น. หฐะโยคะเพื่อการผ่อนคลาย (600 บาท)

ลด 10เปอร์เซ็นต์ เมื่อสมัคร ตั้งแต่ 3หัวข้อขึ้นไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สำรองที่นั่ง และการชำระเงิน
โทร.02 650 8282 หรือ 081 900 2525
โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาเพลินจิต ชื่อบัญชี บริษัท ฟิต สตูดิโอ จำกัด เลขที่บัญชี 205-0-588-51-2 แฟกซ์ใบใบโอนเงินมาที่ 02 650 9464 เพื่อยืนยันการชำระเงิน

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ครูจิมมี่กับ Thailand Yoga Festival 2010.

(ครูจิมมี่กับภาพของตนเอง ซึ่งเป็นฉากหลังบู๊ทของสถาบันฟิต)

ครูจิมมี่กับ Thailand Yoga Festival 2010.

ก็อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วครับว่าประเทศเราจะมีมหกรรมโยคะที่ใหญ่สุดของประเทศในช่วงปลายปีของทุกๆปี ปีนี้ก็ใช้ชื่องานว่า Thailand Yoga Festival 2010. ซึ่งก็ได้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่30-31ตุลาคม2553 ณ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเปร็บ ย่านทองหล่อ สุขุมวิท

งานนี้ผมก็มีส่วนร่วมคล้ายๆกับทุกๆปีที่ผ่านมา คือ ไปประจำบู๊ทของสถาบันฟิต และก็ไปช่วยโปรโมทส่งเสริมการขายเสื่อโยคะแมนดูกะที่ผมเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้เขาอยู่ หน้าที่ ที่ผมได้รับมอบหมายเพิ่มเติมสำหรับงานปีนี้ก็คือการได้รับเกียรติจากทางโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ให้เป็น 1ในทีมครู12ท่านที่นำสอนกิจกรรมไหว้พระอาทิตย์เพื่อการกุศลในวันเสาร์ที่30ต.ค.2553 ซึ่งเนื้อหาในส่วนของกิจกรรมการไหว้พระอาทิตย์108 เพื่อการกุศลนั้นผมได้กล่าวถึงไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้

สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปก็คงเป็นบรรยากาศทั่วๆไปของงานนี้ และกิจกรรมที่ผมได้มีส่วนร่วมในวันอาทิตย์ที่31ต.ค.2553, หากถามผมถึงบรรยากาศโดยรวมผมขอบอกตรงๆเลยว่ามันดูจะเงียบเหงากว่าปีที่แล้ว อันดับแรกดูจากจำนวนบู๊ทในงาน อันดับสองดูจากจำนวนผู้เข้าร่วมงาน วันแรกค่อนข้างเหงา วันที่สองบรรยากาศดีขึ้นเล็กน้อยเพราะจำนวนคนดูจะมากกว่าในวันแรก  ผมก็ไม่ได้ต้องการทำประชาวิจารณ์แต่อย่างใดแต่ก็มีการแอบสอบถามผู้มาเข้าร่วมงานบางท่านว่ารู้สึกอย่างไร

-หลายๆคนยังบอกว่าราคาแพง(แต่สำหรับผมแล้ว ผมถือว่า ราคาที่ทางโยคะเจอร์น่อลได้กำหนดขึ้นนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลแล้วครับ)

-หลายๆคนบอกว่าครูที่มาสอนส่วนใหญ่จะเป็นครูคนเดิมที่สอนในปีก่อนๆ น่าจะมีครูโยคะระดับแนวหน้าของโลกใครก็ได้สักคนหนึ่ง(แบบดังมากๆ ชนิดที่ผู้ฝึกโยคะทุกคนในโลกรู้จัก อาทิเช่น จอห์น เฟรนด์, เดวิด สเวนสัน, ชีวา เรย์ เป็นต้น) มาเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดผู้ฝึกโยคะ ก็น่าจะดีไม่ใช่น้อย เมื่อทุกคนดูตัวใบโฆษณาประชาสัมพันธ์งาน ทั้งสีสันของใบปลิวและชื่อครูผู้สอนแล้ว ก็รู้สึกได้ทันทีถึงอะไรที่คล้ายๆเดิม อันนี้คงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนที่เคยเข้าร่วมงานนี้อาจจะลังเลใจ

-หลายๆคนบ่นว่าปีนี้ไม่มีอาหารกลางวันเลี้ยงอย่างเช่นทุกๆปีที่ผ่านมา จึงยิ่งทำให้รู้สึกว่าราคาที่กำหนดมานี้แพงมาก (แต่สำหรับผมแล้ว ทุกๆครั้งที่ผมต้องไปเข้าอบรมหรือสัมนาโยคะระดับนานาชาติ ไม่มีงานไหนเลยที่เลี้ยงอาหารกลางวัน ผู้เข้าร่วมอบรมต้องออกไปหาทานเอง) แต่เนื่องจากว่าของมันเคยมีในปีแรกๆมาถึงตอนนี้ดันไม่มี มันก็เลยกลายเป็นประเด็นขึ้นมาล่ะครับ

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องอื่นๆอีก เช่น สถานที่, บู๊ทในงานน้อยไม่ค่อยคึกคัก, รวมไปจนถึงการประชาสัมพันธ์ ฯลฯ  ซึ่งผมก็พอจะทราบข้อมูลวงในมาคร่าวๆว่าในปีหน้าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ในการจัดกิจกรรมและปรับรูปแบบบางอย่าง ก็คิดว่าน่าจะมีอะไรหลายๆอย่างที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนในปีหน้า โยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ สู้ๆ

สำหรับส่วนร่วมของผมในงาน Thailand Yoga Festival 2010. ส่วนของวันอาทิตย์ที่31ต.ค.2553ก็คือ ผมรีบตื่นมาแต่เช้าเพื่อมาเข้าคลาส อัษฎางคโยคะ ไพรมารี่ ซีรี่ ของครูเคน ฮารากูม่า เนื่องจากผมไม่ได้ฝึกไพรมารี่ซีรี่มานานเป็นปีแล้วเลยอยากเคาะสนิมครับ ปรากฏว่าสนิมเย๊อะกว่าที่คิดเคาะไม่ค่อยออก ช่วงแรกๆจั๊มอย่างกับมีคนจับอุ้มประครองมาวางจนคนข้างๆมองด้วยความทึ่ง ช่วงหลังๆจั๊มไม่ค่อยไหวยืนระยะไม่ไหว(หมดสภาพ คนข้างๆมองอย่างเวทนา) คงเป็นเพราะอ่อนซ้อม ก็รับแต่งานสอนจนไม่มีเวลาฝึกฝนตนเองก็เป็นอย่างนี้แหล่ะครับ

(ครูจิมมี่ถ่ายภาพคู่กับคุณน้ำผึ้งณัฐริกา)

หลังจากนั้นผมก็มาประจำบู๊ท ของสถาบันฟิต เนื่องจากบู๊ทของสถาบันฟิตมีรูปของผมที่ทำท่าโยคะประหลาดๆอยู่จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาให้หลายๆคนเข้ามาที่บู๊ทเพื่อถ่ายรูปคู่กับรูปของผมที่ปรากฏอยู่ที่ฉากหลังของบู๊ท(แต่ไม่ค่อยมาขอถ่ายรูปกับตัวจริงสักเท่าไหร่ อื่ม...งง...) ทันใดนั้นก็มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งรูปร่างหน้าตาเหมือนดาราที่เคยเห็นในโทรทัศน์แต่ก็ไม่อาจชี้ชัดว่าใช่หรือไม่ พอเขาให้เกียรติเข้ามาคุยกับผมจึงทำให้ทราบว่าเป็นคุณน้ำผึ้ง ณัฐริกา, เนื่องจากผมว่าเธอมีรูปหน้าหรือรายละเอียดบางอย่างบนใบหน้าที่แตกต่างไปจากเดิม จึงทำให้ผมสงสัยว่าใช่เธอหรือไม่? ซึ่งผมก็ไม่ทราบได้ว่าเป็นเพราะอะไร หลังจากที่ได้พูดคุยกับเธอในเรื่องที่เธอสงสัยเกี่ยวกับโยคะสักพักหนึ่ง เธอก็บอกผมสั้นๆว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยสบาย(ก็ดูแลสุขภาพด้วยแล้วกันนะครับ)

(ครูคอร่า เวน สอนเทคนิคBack bend ให้ครูจิมมี่)

จากนั้นครูคอร่า เวน ก็เดินมาคุยกับผม ผมรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างรุนแรงหลังจากกิจกรรม สุริยะนมัสการ108 กิจกรรมนี้นี่เองที่เธอได้ใจผมไปแบบเต็มๆ(ดังรายละเอียดที่ผมได้บรรยายไว้ในบทความที่แล้ว) เนื่องจากครูคอร่า เวนเป็นผู้มีประสบการณ์ในการสอนโยคะสูงมากๆ ผมจึงไม่ลังเลใจที่จะถามเธอถึงเทคนิคบางอย่างในการทำท่าโยคะอาสนะบางท่า ด้วยความบังเอิญที่ทั้งผมและครูคอร่า เวน เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับเสื่อโยคะแมนดูกะ จึงทำให้เธอจับผมมาฝึกให้หายข้อสงสัยที่บู๊ทโยคะโอม ซึ่งเป็นบู๊ทตัวแทนจำหน่ายเสื่อโยคะแมนดูกะในเมืองไทย ถึงแม้จะใช้เวลาแค่10-15นาที ผมก็ได้รับเทคนิคสองสามอย่างจากครูคอร่า เวน มาแบบเต็มๆเลยทีเดียว เธออธิบายให้ผมเข้าใจแบบไม่มีการกั๊กใดๆทั้งสิ้น

(ครูจิมมี่สาธิตท่านาฏราชาสนะ, โปรดสังเกตกองเชียร์ ช่องหน้าต่างด้านบน)

(นักเรียนของผมได้รับรางวัลจากโยคะโอม)

(คุณวนิดา, โยคะโอม มอบของที่ระลึกให้ครูจิมมี่)

จากนั้นพักใหญ่ก็เป็นเวลาที่ผมจะต้องช่วยโปรโมทสนับสนุนการขายเสื่อโยคะแมนดูกะที่ผมเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์อยู่ ด้วยการสาธิตท่าโยคะอาสนะต่างๆที่ด้านหน้าบู๊ทของสถาบันฟิตและบู๊ทของโยคะโอม(บู๊ทของเราติดกัน) คนแถวๆนั้นที่เดินผ่านไปผ่านมาก็มามุงดูของแปลกกันเพียบล่ะครับ

พอช่วงเย็นหลังจากที่จบงาน Thailand Yoga Festival 2010. ผมเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเกียรติเชิญไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับทีมงานและครูผู้สอนของกิจกรรมครั้งนี้(พูดง่ายๆก็คือ งานเลี้ยงโยคีดีๆนี่เองล่ะครับ) เนื่องจากครูลีฟ เพาเวล ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการเดินทางในกรุงเทพสักเท่าไหร่นัก ผมจึงทำหน้าที่พาครูลีฟ เพาเวลไปยังร้านอาหารที่ทางฝ่ายจัดงานได้นัดพวกเราไว้ ระหว่างที่จะขึ้นรถไฟฟ้าก็ได้เจอกับครูราเชล วิลสัน(มาสอนงานนี้แทน เบรท ชอรว์, โยคะฟิต) เธอมากับคู่มั่นสุดหล่อของเธอล่ะครับ เราจึงร่วมเดินทางไปด้วยกันโดยมีผมเป็นผู้นำทาง ก็ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานมากนัก แค่สถานีรถไฟฟ้าเดียวเท่านั้นเอง อาหารก็เป็นมังสวิรัติทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่ดูจะขัดๆกับคอนเซฟ ก็คือไวน์ ซึ่งเขาดื่มกันเกือบทั้งนั้น ยกเว้นผู้ที่เป็นชาวไทยและอินเดียที่ไม่ดื่ม(ผมก็ไม่ดื่มครับ)  ฮาสุดๆก็คือ ในช่วงที่จะต้องแยกย้ายสลายตัวกันกลับ ไวน์ที่ทางเจ้าภาพได้เตรียมไว้2ขวด มันดันเหลืออยู่มากกว่าครึ่งขวด จึงทำให้ ครูคอร่า เวน ขอจุกก๊อกกลับมาปิดขวดเพื่อนำกับไปดื่มต่อที่โรงแรม แต่เด็กเสิร์ฟดันบอกว่าได้ทิ้งจุกก๊อกไปแล้ว ผมจึงบอกให้เด็กเสิร์ฟนำถุงพลาสติกมาปิดปากขวดแล้วใช้ยางลัดไว้ จากนั้นครูคอร่า เวนก็จับขวดไวน์ยัดใส่กระเป๋าสะพายของเธอ แต่กระเป๋าของครูคอร่า เวนดูมันจะเล็กไปสักหน่อยจึงทำให้คอขวดและปากขวดไวน์ จำต้องโผล่ออกมาจากกระเป๋า พรีเซนต์ให้เห็นถึงปากขวดที่ห่อหุ้มด้วยพลาสติกและมียางลัดไว้อย่างแน่นหนา(ประมาณว่าไวน์ไม่มีโอกาสที่จะหกได้นอกเสียจากขวดจะแตกเท่านั้น) จนเป็นเป้าสายตาให้คนอื่นๆเห็นและพูดแซวกันอย่างสนุกสนาน(ฮากระจาย)

(ภาพหมู่ ครูจิมมี่ไม่ใช่เจ้าภาพแต่ไปอยู่หัวโต๊ะ ซะงั้น)

ตอนขากลับเนื่องจากครูคอร่า เวนและครูประสาท รังเนกา พักอยู่โรงแรมที่ค่อนข้างใกล้กับคอนโดฯของผม ผมจึงรับอาสา พาสองคนนี้ไปส่งที่โรงแรม แต่ทันใดนั้นผู้ร่วมก๊วนของเราก็เพิ่มขึ้นเมื่อครูเก๋, รสสุคนธ์ ซันจวน "บอกว่าไปด้วยกันซิ เก๋เอารถมา ไปทางนั้นพอดี" เราเลยออกเดินทางไปด้วยกัน 4คน ทันใดนั้นครูคอร่า เวน ก็พูดว่า เก๋เป็นไปได้ไหมที่จะผ่านไปแวะซื้อข้าวเหนียวมะม่วงสุดอร่อยร้านโปรดของเธอ ที่อยู่แถวๆปากซอยทองหล่อ ซึ่งเมื่อเธอมากรุงเทพทีไรเธอจะต้องมาซื้อข้าวเหนียวมะม่วงร้านนี้ทานทุกๆครั้งไป(ก็ไม่มีใครขัดศรัทธาครับ พวกเราก็ไปกันทั้งก๊วน) ซื้อปุ๊บแกะกล่องทานปั๊บมันตรงหน้าร้านนั่นแหล่ะ แต่ทานกันในรถของครูเก๋(พวกเราทั้ง4คนจึงกลายเป็นก๊วนข้าวเหนียวมะม่วงไปโดยปริยาย)

(ครูประสาท, ครูจิมมี่และครูคอร่า)

คืนนั้นต่างก็สนุกสนานกันไปพอสมควร งานนี้ทำให้ผมได้รู้จักกับครูสอนโยคะหลายๆท่านมากยิ่งขึ้นและถือเป็นการสร้างมิตรภาพอันดีงามหลายๆอย่างระหว่างพวกเราซึ่งเป็นครูสอนโยคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊วนข้าวเหนียวมะม่วง ผมจึงทำข้อตกลงกับครูคอร่า เวน และครูประสาท รังเนกา ว่าในครั้งต่อๆไปหากเขาต้องมาเมืองไทยอีกล่ะก็ จะต้องติดต่อผมและมาเปิดเวิร์คชอฟที่ฟิตสตูดิโอของผม

ขอมิตรภาพอันดีงามจงอยู่คู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

สุริยนมัสการ 108 (กิจกรรมไหว้พระอาทิตย์เพื่อการกุศล) ในงาน Thailand Yoga Festival 2010.

(ครูทั้ง 12ท่านยืนโพสท่าเรียงกันตามลำดับการสอน)

สุริยะนมัสการ 108 (กิจกรรมไหว้พระอาทิตย์เพื่อการกุศล) ในงาน Thailand Yoga Festival 2010.

ก็ได้ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ สำหรับมหกรรมโยคะที่ถือว่าใหญ่ที่สุดของบ้านเรา Thailand Yoga Festival 2010. เสาร์ที่30  และอาทิตย์ที่31 ตุลาคม 2553 ซึ่งปีนี้ได้ใช้สถานที่ในการจัดงานที่โรงเรียน นานาชาติ บางกอกเปร็บ(ใกล้สถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ ปีที่แล้วก็จัดงานนี้ที่นี่แหล่ะครับ)

(ครูทั้ง 12ท่าน เตรียมความพร้อมก่อนการสอน)

กิจกรรมที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นสีสันของงานนี้ก็คือ สุริยะนมัสการ 108 (กิจกรรมไหว้พระอาทิตย์เพื่อการกุศล) เพราะว่ารวบรวมครูโยคะถึง 12ท่านด้วยกันมานำสุริยะนมัสการในสไตล์ต่างๆกันตามความถนัดของครูแต่ละท่าน(ก็มีผมเป็นครู 1ใน12ท่านด้วยครับ) จากหมายกำหนดการเดิม กิจกรรมนี้จะจัดขึ้นวันเสาร์ที่30 ต.ค.เวลา 18.00-20.00น. แต่ทางผู้จัดงานได้ขอเปลี่ยนแปลงเวลามาเป็น 13.00-15.00น.วันเดิม  ทุกอย่างก็เป็นไปแบบเรียบๆง่ายๆตามที่ฝ่ายจัดงานต้องการคือ ก็จัดลำดับการสอนของครูแต่ละท่านกัน มันตอนก่อนบ่ายโมงวันสอนจริงนั่นเลยครับ ก็ตื่นเต้นได้ลุ้นดีเหมือนกันเหมือนฟังผลสอบเอ็นทรานซ์ ครูทั้ง 12ท่านมายืนรวมตัวกันฟังผลว่าใครจะสอนก่อนสอนทีหลัง พอทราบผล ผมก็ต้องถึงกับเข่าอ่อนเลยล่ะครับ เมื่อฝ่ายจัดบอกว่าครูจิมมี่สอนก่อนเป็นคนแรก แต่ในความคิดของผมก็คือ ครูที่ควรจะเป็นผู้สอนเปิดงาน น่าจะต้องเป็นที่ยอมรับของผู้ฝึกโยคะทุกคนในงานนี้และมีความอาวุโสประมาณหนึ่ง สำหรับผมแล้วครูทั้ง 12ท่านที่ได้รับเชิญมาสอนในงานนี้ ผมถือว่าเป็นครูที่มีอายุน้อยที่สุด(จริงๆครับ ไม่ได้โม้) ผมจึงทำการถามประชามติของครูท่านอื่นๆทั้ง 11ท่าน จึงเห็นพร้อมตรงตามกันว่า ให้ครูเคน ฮารากูม่า เป็นผู้สอนเปิดพิธีน่าจะเหมาะสมที่สุด ผมจึงรอดตัวไป หลังจากนั้นครูบางท่านก็มีการขอสลับตำแหน่งลำดับการสอนกันไปมาพอประมาณจนฝ่ายจัดงานเกือบงง แต่ก็ลงตัวจนได้ในที่สุด สรุปผมได้สอนเป็นคนสุดท้าย(ไม่อยากเป็นคนแรก แต่ขอเป็นคนสุดท้าย ฮิๆๆ)

(ครูจิมมี่ ขณะที่กำลังสอน)

ตามข้อกำหนดคือ ครู 12ท่าน ผลัดกันสอนสุริยะนมัสการท่านละ 9รอบ คนแรกมีงานเพิ่มคือต้องนำวอร์มอัพ, อบอุ่นร่างกายด้วย และคนสุดท้ายก็ต้องรับหน้าที่เพิ่มด้วยเช่นกันคือการนำผ่อนคลายโยคะนิทราท่าศพอาสนะ(อันนี้ คืองานที่ผมได้รับเพิ่มล่ะครับ)

ครูบางท่านก็สอนด้วยความกระชับรวดเร็วว่องไว ครูบางท่านก็สอนแบบเรื่อยๆไม่ต้องรีบไม่ต้องเร่ง ตามหมายกำหนดการจริงๆเราเริ่มกิจกรรมตอนบ่ายโมงก็ควรจะเสร็จสิ้นกิจกรรมตอนบ่ายสามโมงตรง แต่พอถึงบ่ายสามโมงตรงเพิ่งสอนไปได้ประมาณ 8ท่านเองครับ จึงทำให้ผมต้องยืนเกร็งอยู่ว่าผมซึ่งสอนเป็นคนสุดท้ายจะได้สอนไหมเนี่ยะ? เพราะในห้องที่เราจัดกิจกรรมนี้ต้องมีคลาสต่อตอนเวลา 15.30น. ครูที่สอนในลำดับต้นๆ เมื่อหมดหน้าที่เขาก็ค่อยๆสลายตัวกันไปทีละคนสองคน แต่ก็ยังมีครูอีกหลายท่านที่รออยู่จนจบกิจกรรม และถือว่าเป็นการให้กำลังใจครูที่สอนในลำดับท้ายๆ

เนื่องจากกิจกรรมสุริยะนมัสการ 108นี้ใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน ดังนั้นผู้ฝึกบางท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมก็อาจจะค่อยๆสลายตัวไปบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง พอมาถึงคิวสอนของผมซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สอนคนสุดท้ายผู้ฝึกจึงบางตาลงไปเล็กน้อย จึงทำให้ครูคอร่า เวน แสดงสปิริตลงมาร่วมฝึกด้วยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ผม นอกจากนี้ยังมี ครูประสาท รังเนกา(ชาวอินเดีย), ครูวีณา เศรษฐี, ครูเก๋ รสสุคนธ์ ซันจวน คอยยืนคุมเชิงให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง เนื่องจากสอนในลำดับใกล้ๆกัน ซึ่งก็เหลือเวลาแค่ไม่ถึง10นาทีให้ผมสอน ดังนั้นจาก 9รอบ ผมจึงนำสุริยะนมัสการไปเพียง 3รอบเท่านั้น แล้วจึงนำทุกๆคนไปสู่การผ่อนคลายโยคะนิทราท่าศพอาสนะ ก็เป็นอันว่ากินเวลาของคลาสที่เขาจะต้องมาสอนต่อไปเล็กน้อยแล้วครับ

ภาพโดยรวมของกิจกรรมนี้ ก็ถือว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ถึงแม้นจะมีบางสิ่งบางอย่างยังขาดๆเกินๆอยู่บ้างก็ต้องถือโอกาสนี้กราบขอบพระคุณผู้ฝึกโยคะทุกๆท่านที่เข้าร่วมกิจกรรมสุริยนมัสการ 108 เพื่อการกุศล,
ขอบคุณโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ที่ได้ให้โอกาสทำให้ผมมีส่วนร่วมสำคัญในกิจกรรมครั้งนี้, ขอบพระคุณคุณครูทุกๆท่านที่มาร่วมสอนและร่วมเป็นกำลังใจให้กันและกัน

หวังว่าคงจะมีกิจกรรมดีๆแบบนี้ ให้ผู้ฝึกโยคะได้เข้าร่วมอีก ตามความเหมาะสมแก่เวลาและโอกาส

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โยคะ กับภาษาสันสกฤต และพุทธประวัติ

โยคะ กับภาษาสันสกฤต และพุทธประวัติ

สิ่งหนึ่งในการฝึกโยคะของพวกเราทั้งหลาย คงจะหลีกเลี่ยงไม่พ้นกับการที่จะต้องได้ยินได้เจอชื่อท่าโยคะอาสนะที่ฟังไม่ค่อยคุ้นหู ศัพท์ฟังดูคล้ายๆจะเป็นราชาศัพท์แต่ก็ไม่ใช่ ออกเสียงคล้ายๆภาษาไทยแต่ก็ไม่เชิง สิ่งนี้ก็คือภาษาสันสกฤตนั่นเอง

ด้วยความที่ว่าผมมีอาชีพเป็นครูสอนโยคะ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจคำศัพท์ชื่อท่าโยคะอาสนะต่างๆเหล่านี้บ้าง(ถึงแม้นจะเป็นแบบงูๆปลาๆก็ตาม) ซึ่งในเรื่องนี้ผู้ที่เป็นครูสอนโยคะทั้งหลายต่างก็คงพอจะทราบกันดีและปวดหัวกับสิ่งนี้ไม่ใช่น้อย  ครูบางคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงไม่พูดชื่อท่าอาสนะต่างๆเป็นภาษาสันสกฤตแต่ขอเรียกชื่อท่าเป็นภาษาอังกฤษแทน(ก็แล้วแต่ความถนัดล่ะครับ มันไม่ใช่อะไรที่เราคุ้นเคย) แต่บางคนก็เลือกที่จะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามแต่

โดยส่วนตัวของผมกับภาษาสันสกฤตนี้ ผมเลือกที่จะศึกษาด้วยตนเองและพยายามทำความเข้าใจกับมัน ก็เหมือนท่องศัพท์ภาษาอังกฤษตอนสมัยเด็กๆล่ะครับ พยายามออกเสียงศัพท์ต่างๆและความหมายของศัพท์ต่างๆเหล่านั้นควบคู่กันไป ซึ่งแน่นอนครับ การออกเสียงย่อมต้องมีความผิดเพี้ยนบ้างเป็นธรรมดาเนื่องจากมันไม่ใช่ภาษาที่เราคุ้นเคยแต่ผมก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมสามารถทำได้

มีเหตุการณ์หนึ่ง(ประมาณ5-6ปีที่แล้ว) เรื่องมันมีอยู่ว่า วันหนึ่งหลังจากที่ผมได้สอนจบคลาส จากการสอนตามปกติของผมในตอนค่ำ ก็มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่เข้าร่วมคลาสกับผม มาถามผมถึงชื่อท่าที่ผมสอน ว่ามีอยู่ท่าหนึ่งที่เธออยากจะทราบชื่อท่าอาสนะท่านี้มากๆ จึงมาขอคำตอบจากผมให้หายสงสัย ผมบอกเธอไปแบบตรงๆว่าผมก็ไม่ทราบเหมือนกันแต่ครั้งหน้าที่เจอกันจะพยายามทำการบ้านไปค้นคว้าหาชื่อมาบอกให้ได้   ณ ตอนนั้นผมกลับมาคุ่นคิดอย่างหนัก และตระหนักว่าแน่นอนหากมาถามชื่อท่าโยคะอาสนะกับครูสอนโยคะแล้วครูสอนโยคะตอบไม่ได้...แล้วจะให้ไปถามกับใคร? คือมันเป็นอาชีพของเรา เราจึงจำเป็นจะต้องมีความก้าวหน้าและพัฒนาในวิชาชีพ ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมจึงเริ่มท่องศัพท์ภาษาสันสกฤต

และวันหนึ่งในการสอนคอร์สครูโยคะ ผมก็ต้องสอนคำศัพท์และความหมายของภาษาสันสกฤตบางส่วนที่ครูสอนโยคะควรจะต้องทราบ ก็ได้มีการหยิบยกเอา คำว่า Ashtanga มาพูด ซึ่งคำว่าAshtanga มาจาก Ashta (อัษฎา)ที่แปลว่า แปด และ Ang(องค์) แปลว่า กิ่ง, แขนง, สาขา และอาจจะหมายถึงนิ้วมือ นิ้วเท้าก็ได้ ซึ่งรวมแล้วก็หมายถึง องค์8แห่งโยคะ หรือ มรรค8แห่งโยคะนั่นเอง  จากตรงนี้จึงมีการนำคำว่า องค์ มาพูดต่อว่า อ้อ! องคุลีมาล จอมมารที่คอยตัดนิ้วคนอื่นในพุทธประวัติ หลายท่านคงพอจะทราบดีแต่ถ้าไม่ทราบผมก็จะบรรยายให้ฟังโดยสังเขป(ผู้ที่ทราบแล้วก็ถือว่าเป็นการทบทวนความทรงจำแล้วกันนะครับ)

ก็อดที่จะพูดไม่ได้เพราะเราชาวไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนาพุทธ(ผมด้วย) ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ในวัยเยาว์ จนถึงขั้นสอบได้ธรรมศึกษาเอก จากสำนัก วัดป่าเลไลย์วรวิหาร สุพรรณบุรี ก็เลยคิดว่าน่าจะมาแชร์เรื่องเหล่านี้บ้าง เพราะปัจจุบันความดีงามตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาดูเหมือนจะค่อยๆเสื่อมถอยไปจากวิถีชีวิตในสังคมไทยของพวกเรา


เรื่องย่อของ องคุลีมาล มีดังต่อไปนี้

ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีป เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว อหิงสกะ ได้ถือกำเนิดขึ้นในวรรณะพราหมณ์ ซึ่งถือกันว่าเป็นวรรณะของผู้มีบุญชั้นสูงสุด แต่ชะตาของทารกกลับถูกสวรรค์ลิขิตไว้ว่า เมื่อเติบโตขึ้นจะกลายเป็นมหาโจร สนองคืนผู้มีคุณด้วยความตาย

เพราะเชื่อในลิขิตแห่งฟ้า บิดามารดาจึงส่งอหิงสกะ ไปร่ำเรียนวิชชากับสำนักทิศาปาโมกข์แห่งเมืองตักกสิลา บิดานั้นเพียงคิดโยนปัญหาไปให้ไกลตัวไกลๆ แต่ฝ่ายมารดากลับมุ่งหวังว่า สาติพราหมณ์  ผู้เป็นเจ้าสำนักทิศาปาโมกข์ เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วว่าจะเป็นผู้บรรลุธรรม เป็นเจ้าแห่งศาสดา อาจจะสามารถช่วยนำพาให้อหิงสกะ หลุดพ้นไปจากปัญหาทางโลกย์ได้

สาติพราหมณ์หาได้สอนวิชชาใดๆ ให้แก่อหิงสกะไม่ เพราะตรวจชะตาล่วงรู้ว่า ผู้มีคุณแก่อหิงสกะจะมีเคราะห์ เด็กน้อยจึงกลายมาเป็นคนเลี้ยงแพะ เพื่อนำไปฆ่าสังเวยในพิธีบูชายัญ ตามความเชื่อของผู้คนในสมัยนั้น เวลาผ่านไป จนอหิงสกะเติบโตเป็นหนุ่ม ในขณะที่ศิษย์คนอื่นๆ ฝึกฝนวิชชา อหิงสกะต้องนั่งนับจำนวนแพะอยู่กลางทุ่ง หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้น เป็นการฝึกสมาธิโดยธรรมชาติ แล้ววันหนึ่ง อหิงสกะก็สามารถเข้าถึงปฐมฌานได้ด้วยตนเอง

ในกาลนั้น ข่าวของศาสดาองค์ใหม่ ผู้ซึ่งบรรลุธรรมอันยิ่งใหญ่ ก็ได้มาถึงเมืองตักกสิลา ศาสดาท่านนี้เดิมคือ เจ้าชายแห่งศากยะวงศ์ ผู้สละราชบัลลังก์ออกแสวงหาธรรม สาติพราหมณ์รู้สึกไม่พอใจ ที่พระราชาในแคว้นต่างๆ พากันหันไปนับถือศาสดาใหม่ จึงได้ส่งบรรดาศิษย์เอกของสำนัก ออกเดินทางไปลบล้างทำลายลัทธิใหม่นี้ แต่ศิษย์ของสาติพรหมณ์ทุกคน ล้วนแล้วแต่หายสาบสูญไป ไม่กลับมาแม้สักคนเดียว

ชีวิตของอหิงสกะที่สงบเงียบ เริ่มผันแปรไปในคืนวันวิวาห์ ของสาติพราหมณ์กับเจ้าสาวคนใหม่ นามว่า นันทาพราหมณี สาติได้พบความลับว่า ภรรยาคนใหม่นี้ ที่แท้จริงเป็นจัณฑาล หรือคนที่ถือกำเนิดจากพ่อแม่ที่ต่างวรรณะ ซึ่งถือกันว่าเป็นพวกที่ต่ำช้า นำความเสื่อมมาให้คนทั่วไป ความเชื่อนี้ ทำให้สาติต้องหาทางกำจัดนันทา แต่กลับถูกอหิงสกะช่วยเหลือไว้ สาติจึงกล่าวหาว่า อหิงสกะฉุดคร่านันทาไป และประกาศให้ทุกคนทราบ ถึงดวงชะตาของอหิงสกะ ที่ถูกลิขิตไว้ว่าจะต้องเป็นมหาโจร

อหิงสกะพานันทา หลบหนีเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เขาก็ได้พบกับ พญามาร ผู้อ้างตนว่าเป็นเทพ ณ ที่แห่งนั้น พญามารเล่าว่า ในโลกนี้ยังมีคนบางพวก ที่ไม่นับถือบูชาเทพบนสวรรค์ ทางที่จะปลดปล่อยให้คนเหล่านี้ หายจากความหลงผิดมีเพียงวิธีเดียว ซึ่งไม่เรียกว่าการฆ่า แต่เป็นการบูชายัญคนชั่ว ถ้าเมื่อใดอหิงสกะสร้างกุศล โดยการบูชายัญชีวิตคนครบ 1000 คน เมื่อนั้นผลบุญที่ก่อ จะทำให้เขาบรรลุธรรม หลุดพ้นจากเวรกรรมในอดีตทั้งปวง อหิงสกะเริ่มหนทางสู่การบรรลุธรรม ด้วยการเข่นฆ่าพวกโจรป่า ที่ดักปล้นฆ่าคนเดินทาง เมื่อฆ่าโจรป่าจนหมดสิ้น อหิงสกะก็ก้าวหน้าต่อไป ด้วยการฆ่าคนที่ลบหลู่ ไม่บูชาเทพเทวดา จนสุดท้ายก็ถลำตัวไปสู่การฆ่าฟันโดยไม่เลือก เพราะเขาได้เข้าใจว่า สิ่งทั้งปวงมีแต่ความทุกข์ การที่เขาฆ่าคน จึงเป็นการปลดปล่อยคนเหล่านั้นให้พ้นทุกข์

นันทาพยายามคัดค้าน มิให้อหิงสกะฆ่าคน แต่อหิงสกะมั่นใจว่า สิ่งที่ตนทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะยิ่งฆ่าคน ดวงจิตของเขาก็มีพลังมากขึ้น เขาจึงมั่นใจว่าหนทางสู่การบรรลุธรรมของตนเอง ใกล้จะสำเร็จแล้ว ในช่วงนั้นเองอหิงสกะได้ค้นพบความจริง เกี่ยวกับพญามารว่า มิใช่เทพดังอ้าง เขาได้ปราบพญามารลง แล้วจึงเข้าใจว่าไม่ใช่แต่เพียงมนุษย์เท่านั้น ที่ต้องทนทุกข์ แม้เทวดา มาร พรหม ก็อยู่ใต้กฎเดียวกัน ตั้งแต่นั้นอหิงสกะ จึงหันมาบูชาแต่เพียงดวงจิตของตนเอง โดยเขาได้นำนิ้วของคนที่ถูกฆ่าตาย มาร้อยเป็นพวงมาลาคล้องคอ อันเป็นที่มาของชื่อมหาโจรนาม องคุลิมาล

อหิงสกะพานันทาเดินทางลงใต้ และฆ่าคนจนใกล้จะครบ 1000 แล้ว อหิงสกะมั่นใจว่า เมื่อตนบรรลุธรรมแล้ว จะสามารถเอาชนะศาสดาองค์ใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่นันทานับถือเหนือกว่าตน ในคืนวันหนึ่งท่ามกลางซากศพ ของผู้ที่ถูกอหิงสกะฆ่าตาย นันทาตัดสินใจ ใช้ยาพิษปลิดชีพของอหิงสกะและตนเอง เพื่อหยุดยั้งการฆ่า แต่อหิงสกะสามารถทนต่อพิษได้ ส่วนนันทาโดนพิษบางส่วน ทำให้กลายเป็นคนหมดสติ หลับไม่ตื่น เหลือเพียงลมหายใจ ที่บ่งบอกว่ายังมีชีวิต

อหิงสกะมุ่งมั่นที่จะช่วยนันทา และหนทางที่ตนคิดว่าจะทำได้ก็คือ เร่งฆ่าคนให้ครบจำนวน ที่จะทำให้ตนเองบรรลุธรรม มีอำนาจเหนือธรรมชาติ อหิงสกะหารู้ไม่ว่า เหยื่อรายสุดท้ายที่ตนกำลังจะปลิดชีพให้ครบ 1000 นั้นคือ มันตานี  ผู้มารดาของตนเอง ที่กำลังพยายามตามหาบุตรชาย ที่ได้กลายเป็นมหาโจรไปแล้ว ขณะที่อหิงสกะจะยิงศร ไปสังหารผู้เป็นมารดานั่นเอง ที่มหาโจรกลับถูกขัดขวาง โดยศัตรูคนสำคัญ นั่นคือ ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า พระผู้ตื่นแล้ว หรือ พระพุทธเจ้า อหิงสกะจึงวิ่งไล่ตามไปเพื่อฆ่า วิ่งไปเพื่อจะได้พบความสำเร็จ ที่ตนมุ่งมั่นมานานแสนนาน

แต่วิ่งเร็วแค่ไหน ก็ตามพระพุทธเจ้าไม่ทัน จึงร้องเรียกให้พระพุทธองค์ หยุด จึงเป็นที่มาของคำว่า "เราหยุดแล้ว ท่านนั่นแหล่ะที่ยังไม่หยุด"

อหิงสกะหารู้ไม่ว่า การไล่ตามพระพุทธเจ้าในครั้งนั้น เขาได้ก้าวเข้าไปสู่หนทาง ที่จะนำไปสู่ความสุขสว่าง ทางที่จะทำให้เขามองเห็นความหลงผิดทั้งปวง ทางที่จะสามารถช่วยเหลือนันทา ให้รอดพ้นได้อย่างแท้จริง และทางที่มารดาของเขา ใฝ่ฝันให้เขาก้าวไป เพื่อบรรลุสิ่งอันประเสริฐสูงสุดของมนุษย์ นั่นก็คือ 'นิพพาน'
(ข้อมูลเรื่องย่อ จากบทภาพยนตร์องคุลิมาล  http://www.nangdee.com/title/html/m285.html)

การผิดพลาดบางอย่างด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือด้วยอวิชชา แต่เมื่อได้มารู้จักผิดชอบชั่วดี หรือสิ่งที่ถูกสิ่งที่ควรในภายหลัง แล้วรีบกลับตัวกลับใจ สังคมก็พร้อมที่จะยอมรับและให้อภัย และนี่ก็คือข้อคิดจากเรื่ององคุลิมาล

จากเรื่องของการฝึกโยคะส่งต่อไปสู่การใช้ภาษาสันสกฤตสำหรับโยคะและมาเชื่อมโยงยาวไปเข้ากับพุทธประวัติ ก็เป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกอิ่มเอมใจไปกับโยคะและธรรมะอีกรูปแบบหนึ่ง

ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ และมีการใช้กันในย่านชมภูทวีปสืบเนื่องยาวนาน ภาษาหลายๆภาษาในเอเชียก็ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาสันสกฤต รวมจนถึงศัพท์หลายๆคำในภาษาไทยของเราด้วย ผมอยากให้เพื่อนๆร่วมวิชาชีพครูสอนโยคะพูดชื่อท่าอาสนะเป็นภาษาสันสกฤตบ้างเท่าที่มีโอกาสเพราะอย่างน้อยที่สุดก็ถือว่าเป็นการให้ความเคารพต้นตำหรับแหล่งกำเนิดของศาสตร์แห่งโยคะ และเป็นความภาคภูมิใจของชาวเอเชียอย่างเราๆ และยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของการฝึกโยคะ ทั้งๆที่การฝึกโยคะในยุคปัจจุบันนี้จะแตกต่างจากการฝึกโยคะในแบบต้นตำหรับอย่างมากมาย แต่ทุกครั้งที่ผมได้พูดภาษาสันสกฤตออกไปในขณะที่สอนโยคะ มันก็ยังคล้ายๆว่าพอจะยังมีบางสิ่งบางอย่างของศาสตร์แห่งโยคะแบบต้นตำหรับ ยังไม่เลือนลางหายไปจนหมดสิ้น...

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการศึกษาภาษาสันสกฤตขั้นพื้นฐาน จะอยู่ในความใส่ใจของครูผู้สอนโยคะทุกๆคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ครูจิมมี่ ในนิตยสารโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์(ฉบับ เดือนกันยายน-ตุลาคม 2553)


ครูจิมมี่ ในนิตยสารโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์
(ฉบับ เดือนกันยายน-ตุลาคม 2553)

หลังจากที่นิตยสารโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ ฉบับ เดือนกันยายน-ตุลาคม 2553 ได้ออกวางจำหน่าย ก็มีเสียงตอบรับเข้ามาพอสมควร เกี่ยวกับผม ผู้ที่เรียนและฝึกโยคะกับผมต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ฉบับนี้ลงเต็มๆเลยน๊ะ ครูจิมมี่

หน้าที่ 7 กับการเป็น Brand Ambassador ให้กับเสื่อโยคะ แมนดูกะ
ผมได้รับเกียรติ จากโยคะโอม ผู้นำเข้าเสื่อโยคะแมนดูกะเจ้าเดียวในเมืองไทย คัดเลือกให้เป็น Brand Ambassador คนที่สามของเมืองไทย เขาก็ลงโปรโมทให้เกือบเต็มหน้าเลยล่ะครับ  หากถามว่าเขามีเกณฑ์ในการคัดเลือกอย่างไร? ผมคิดว่าอาจจะเป็นในเรื่องของรูปร่างหน้าตา แน่ๆเลยครับ (ช่างกล้าพูด)

หน้าที่ 13 โฆษณา หลักสูตรครูสอนโยคะ ของ สถาบันฟิต
โดยปกติ สถาบันฟิต ของเราก็จะลงโฆษณาในนิตยสารโยคะเจอร์น่อลเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็มักจะไม่ได้หยิบยกเอารูปของผมมาเป็นจุดเด่น  แต่ก็มักจะมีคนถามเสมอๆว่าผู้สอนคือใครมีความเป็นมาเป็นอย่างไร มันก็เลยถึงเวลาที่จะต้องร่วมด้วยช่วยกันโปรโมทผู้อำนวยการหลักสูตรอย่างจริงจัง และฉบับนี้ก็ถึงคิวได้ลงเต็มหน้าเสียด้วย มันก็เลยเข้าทาง

หน้าที่ 56 ในแถบทึบที่เป็นรูป ลูกศรสีน้ำตาล ก็มีการแนะนำเกี่ยวกับเวิร์คชอฟ ของครูจิมมี่ ที่ ฟิต สตูดิโอ

หน้าที่ 65 ในกล่องเล็กๆ ช่วงท้ายสุดของหน้า ที่มีรายชื่อของครูที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมสอนโยคะการกุศล สูริยนมัสการ 108 ในงานไทยแลนด์โยคะ เฟสติวัล ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30-31 ตุลาคม 2553 ก็มี ชื่อ ยุทธนา พลเจริญ ด้วย

คนที่เขาช่างอ่าน ช่างสังเกต ก็ต่างร่วมด้วยช่วยกัน นำความมาบอกและวิภาควิจารณ์กันต่างๆนานาแบบพอหอมปากหอมคอ
คำถามสุดฮิตก็คือ แล้วไอ้ท่าโยคะอาสนะที่ครูทำในหน้า 7 กับหน้า 13 เขาเรียกว่าท่าอะไรกันบ้างล่ะ?
หน้าที่ 7 คือท่า Yoga Dandasana(Yogic Staff Pose) 
หน้าที่ 13 คือท่า Yoga Nidrasana(Yogic Sleeping Pose)

ขอขอบพระคุณ

กำลังใจที่สำคัญมากๆของทุกๆคนในครอบครัวของผม

สถาบันฟิต ที่คอยช่วยผลักดันให้ครูสอนโยคะธรรมดาๆคนนี้ได้มีโอกาสมาจนถึงทุกวันนี้

ทีมงาน ฟิต สตูดิโอ นำโดยคุณพี่วิจิตรา โอสถศิลป์ ที่คอยให้คำปรึกษาดีๆ เสมอๆ

โยคะโอม ผู้นำเข้าเสื่อโยคะแมนดูกะเสื่อโยคะระดับโลก ที่ให้เกียรติครั้งสำคัญในการเลือกให้ผมเป็น Brand Ambassador ในเมืองไทย

นักเรียนผู้น่ารักทุกๆท่าน ที่ติดตามผลงานและคอยให้กำลังใจครูผู้สอนโยคะคนนี้เสมอมา

นิตยสารโยคะเจอร์น่อลไทยแลนด์ นิตยสารโยคะฉบับแรกของเมืองไทย


ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนและผมตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กรรมโยคะ ของครูคี้ท เคมปิส (ครูชีวมุกติโยคะ ชาวออสเตรเลีย)

กรรมโยคะ ของครูคี้ท เคมปิส (ครูชีวมุกติโยคะ ชาวออสเตรเลีย)

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2553 เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ ฟิต สตูดิโอ ของเรามีโยคะเวิร์คชอฟ ซึ่งเป็นเวิร์คชอฟพิเศษที่จัดแบบเต็มวัน ตั้งแต่ 9.30-16.00น. เงินรายได้หลังจาก การหักค่าใช้จ่ายแล้ว ครูคี้ท เคมปิส จะนำไปซื้ออุปกรณ์ดนตรีให้กับนักเรียนโรงเรียนดอนบอสโก้ เขาหลัก พังงา ที่เคยได้รับความเดือดร้อนจากภัยซึนามิ

ซึ่งโดยปกติแล้วคุณพ่อ, คุณแม่บุญธรรมของครูคี้ทและครูคี้ทมักจะมาทำกิจกรรมการกุศลที่เขาหลักนี้เป็นประจำต่อเนื่องทุกๆปีอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดภัยซึนามิเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การศึกษา การส่งเสริมการประกอบอาชีพต่างๆ จึงทำให้ครูคี้ทเดินทางมาเมืองไทยบ่อยครั้ง


หลังจากที่ผมรู้จักกับครูคี้ท ก็เลยคิดว่าทุกครั้งที่ครูคี้ท มาเมืองไทยผมจะต้องให้เขามาสอนที่สตูดิโอของผมทุกครั้ง(ทั้งๆที่ตอนนั้น ผมไม่ทราบด้วยซ้ำว่าการสอนของเขาเป็นเช่นไรบ้าง) มันเป็นคำมั่นสัญญาระหว่างครูสอนโยคะชาวไทยกับครูสอนโยคะชาวออสเตรเลีย  พอได้เห็นครูคี้ท สอนครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ก็ต้องยอมรับเลยว่า เขาเป็นครูโยคะ ที่ครูสอนโยคะชาวไทยอย่างพวกเราน่าจะต้องไปเรียนด้วยมากๆ

เขาสอนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ทุกท่วงท่าของโยคะที่เขาสอน จะมีการสอดแทรกถึงตำนานและที่มาที่ไปของท่าโยคะอาสนะต่างๆเหล่านั้นอย่างน่าสนใจ และชวนให้ต้องติดตาม ในเวลาเดียวกันก็ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการฝึกท่าอาสนะต่างๆให้กับผู้ฝึกทุกๆคน การสร้างแนวคิดและทัศนคติในเชิงบวกสำหรับการฝึกโยคะ  ผมคิดว่าการสอนแนวแบบนี้แหล่ะที่น่าจะเหมาะกับคนไทยในยุคนี้ สมานฉันท์ สร้างแรงบันดาลใจ ไม่เครียด แถมยังมีดนตรีควบคู่ไปกับการสวดมนตราอีกด้วย จึงทำให้ทุกๆคนที่มาเข้าร่วมเวิร์คชอฟในวันนั้นต่างก็หลงรักการสอนของครูคี้ท ไปตามๆกัน(ถึงแม้นว่าในวันนั้นจะมีคนมาเข้าเวิร์คชอฟของครูคี้ท ไม่มากก็ตาม แต่ บรรยากาศก็สนุกมากๆครับ)





ครูคี้ท บอกว่าในการสอนโยคะสไตล์ชีวมุกตินี้ ดนตรีมีความสำคัญมากๆ ดนตรีจะช่วยทำให้ผู้ฝึกรู้สึกผ่อนคลายจิตใจ และสร้างความรู้สึกดีๆให้กับผู้ฝึก จึงทำให้ผมต้องไปวิ่งหาหยิบยืมเครื่องเล่นอิเล็คโทรน มาให้ครูคี้ท ได้ใช้ประกอบการสอนในเวิร์คชอฟครั้งนี้ ผมคิดว่าจึงน่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้ครูคี้ท เลือกที่จะนำรายได้ทั้งหมดที่เขาได้รับจากการสอนในครั้งนี้ไปซื้อเครื่องดนตรีให้กับเด็กๆ เพราะครูคี้ท และชาวชีวมุกติโยคะทุกคนเชื่อว่าดนตรีช่วยทำให้คนมีจิตใจที่ดีงาม ซึ่งเด็กๆในวันนี้ก็ควรจะเติบโตด้วยพื้นฐานจิตใจที่ดีงามและเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า

แน่นอนครับ ผู้ให้ย่อมจะสุขใจมากกว่าผู้รับเสมอ...นี่คืออีกเศษเสี้ยวหนึ่งที่การฝึกโยคะมักสอนให้เราทำอะไรดีๆเพื่อผู้อื่นและสังคมเสมอๆ



(อุปกรณ์ดนตรี ที่ครูคี้ท ซื้อและนำไปบริจาค)

ก็ต้องขอขอบพระคุณผู้ที่เข้าร่วมเวิร์คชอฟทุกๆท่านในวันนั้น ทีมผู้บริหารฟิต สตูดิโอ ที่ได้มาร่วมกันฝึกโยคะและร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบกรรมโยคะ ซึ่งมีครูคี้ท เคมปิส (ครูชีวมุกติโยคะ ชาวออสเตรเลีย) เป็นผู้ขับเคลื่อนกิจกรรมในครั้งนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงจะได้มีโอกาสได้มาร่วมกันทำกิจกรรมดีๆแบบนี้อีก ที่ ฟิต สตูดิโอ

ขอพลังแห่งกรรมโยคะ จงอยู่กับผู้ฝึกโยคะทุกๆคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

Super Asana Adjustments Workshop by Kru Jimmy & Kru Sutham เวิร์คชอป การแนะนำและช่วยเหลือผู้อื่นในการจัดระเบียบร่างกายสำหรับการฝึกโยคะอาสนะ

-
(ครูจิมมี่ กับการ Adjustments ท่า Hand Stand)


(ครูสุธรรม กับการ Adjustments ท่า Eka Pada Raja Kapotasana)

Super Asana Adjustments Workshop by Kru Jimmy &Kru Sutham
เวิร์คชอป การแนะนำและช่วยเหลือผู้อื่นในการจัดระเบียบร่างกายสำหรับการฝึกโยคะอาสนะ โดย ครูจิมมี่และครูสุธรรม

ในวันอาทิตย์ที่ 17 ตุลาคม 2553 (ทั้งวัน 9.00-16.30น.) ทาง ฟิต สตูดิโอ ขอเชิญแฟนๆบล็อกทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรม เวิร์คชอป เกี่ยวกับการจัดระเบียบร่างกายสำหรับการฝึกโยคะอาสนะ โดยในเวิร์คชอปครั้งนี้ เราจะมีวิทยากรถึง 2ท่านด้วยกัน คือ ครูจิมมี่และครูสุธรรม มาร่วมด้วยช่วยกันถ่ายทอดและแบ่งปันประสบการณ์การสอนโยคะ ในแง่มุมที่แปลกใหม่ได้สาระ

เวิร์คชอปครั้งนี้เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการพัฒนาศักยภาพการฝึกโยคะอาสนะทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เพิ่งจะเริ่มฝึกโยคะ หรือครูสอนโยคะ เวิร์คชอปครั้งนี้วิทยากรทั้ง 2ท่านต่างก็ต้องเตรียมไม้เด็ดจากประสบการณ์ในการช่วยผู้อื่นจัดระเบียบร่างกายมาถ่ายทอดแบบเต็มความสามารถ และก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ครูทั้งสองท่านจะมาร่วมสอนในเวิร์คชอปเดียวกัน คิดว่าตรงจุดนี้ผู้เข้าร่วมเวิร์คชอปทุกท่านคงจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

ในเวิร์คชอปครั้งนี้ทางผู้บริหารของ ฟิต สตูดิโอ ก็ต้องสั่งซื้อและจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการ Adjustments เช่นบล็อก และเชือกสแต็บสำหรับใช้ในการฝึกโยคะ มารองรับผู้เข้าร่วมอบรมเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

และแน่นอนครับ ปฏิบัติการ Adjustments ครั้งนี้จะเกิดขึ้นบนเสื่อโยคะแมนดูกะ

ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมอบรมท่านละ 2,500บาท(รวมอาหารแบบมังสวิรัติมื้อกลางวัน)  รับจำนวนจำกัดไม่เกิน 24ท่าน

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถ สำรองที่นั่ง สำหรับการฝึกอบรมได้โดยการ โอนเงิน ผ่าน บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาเพลินจิต ชื่อบัญชี ฟิต สตูดิโอ เลขที่บัญชี 205-0-588-51-2


หลังจากโอนเงินเรียบร้อยแล้วกรุณา แฟ๊กเอกสารการโอนเงินมาที่ 02 650 9464 และโทร แจ้ง 02-650-8282

 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฟิต สตูดิโอ โทร. 02 650 8282

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราคงจะได้พบกันในเวิร์คชอปครั้งนี้

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

คลาสโยคะของครูจิมมี่ ในงาน Asia Fitness Convention 2010.

คลาสโยคะของครูจิมมี่ ในงาน Asia Fitness Convention 2010.

ก็ได้ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ สำหรับ Asia Fitness Convention 2010. ซึ่งเป็นงานของผู้ที่รักสุขภาพและการออกกำลังกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17-19 กันยายน 2553 และถือเป็นการจัดงานนี้ครั้งที่สองติดต่อกันในเมืองไทย หลังจากที่งานนี้ได้ประสบความสำเร็จจากปีที่แล้ว งานนี้มีผู้เข้าร่วมงานจากทั่วทั้งเอเชีย  ถึงแม้ว่าภาพโดยรวมของผู้ที่เข้าร่วมงานจะดูน้อยกว่าปีที่แล้วเนื่องจากปัญหาทางด้านการเมืองภายในประเทศของเรา ซึ่งทำให้ผู้ที่คิดจะเข้าร่วมงานเกือบ20%ของทั้งหมด ต้องขอถอนตัวกับการมาร่วมงาน แต่ด้วยมิตรภาพและน้ำใจไมตรีที่แสดงออกอย่างชัดเจนของเจ้าภาพในนามของประเทศไทย งานทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

งานนี้ผมมีส่วนร่วมมากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากได้ผ่านการคัดเลือกให้เป็น หนึ่งในวิทยากรของงานนี้ ซึ่งวิทยากรที่ได้รับเชิญมาในงานนี้ต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการออกกำลังกายในสาขาต่างๆ ผมถูกเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในวิทยากรทางด้านโยคะ เนื่องจากปีนี้ช่วงที่จัดงานครูโยคะระดับโลกต่างๆที่ทางฝ่ายจัดงานพยายามเชิญต่างก็ติดภารกิจไม่สามารถมาร่วมงานนี้ได้ ทางฝ่ายจัดงานจึงเปิดโอกาสให้ครูโยคะในย่านอาเซี่ยนได้มีโอกาสเข้ามาแสดงผลงานบ้าง  จึงทำให้ผมได้รับเลือกให้สอนหนึ่งคลาส ชื่อคลาสก็คือ Fit Flow Yoga เนื่องจากเขาต้องการให้เป็นเหมือนการออกกำลังกายในตอนเช้า แต่งานมี 3วัน ตอนแรกผมก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เช้าไหน? พอสรุปในฐานะวิทยากร คนเดียวจากประเทศไทย เขาเลยให้สอนเปิดงานในเช้าตรู่วันแรกของงานเลย( 7.00น.สอนก่อนพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเสียอีก)

ก็ต้องยอมรับเลยว่าดีใจมากๆที่ได้ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นวิทยากรในงานนี้ แต่ในใจลึกๆก็รู้สึกตื่นเต้นและกังวลใจเนื่องจากไม่เคยขึ้นไปสอนงานใหญ่ๆมาก่อนเลย พอเจองานแรกก็เป็นงานใหญ่ระดับเอเชียเลย การเตรียมตัวก็มีเวลาหลายเดือนแต่เนื่องจากผมก็มีภาระการสอนเกือบทุกวัน วันละหลายๆรอบ จึงดูเหมือนเวลาที่คิดว่ามันมีมาก เกือบจะไม่เพียงพอในการเตรียมตัวสอน ผมมาสติเกือบจะแตกเอาตอนก่อนการสอนจริง 2วัน เพราะรู้สึกว่ายังไม่ค่อยพร้อม ผมเตรียมท่าที่จะใช้สอนและทดลองสอนกับนักเรียนบางคลาสของผมในช่วง 2วันก่อนการสอนจริง แต่ก็คิดว่ามันยังไม่ลงตัว แล้วก็ต้องมากังวลกับเรื่องการเตรียมเพลงที่จะใช้สอนเอาในช่วงสองวันสุดท้ายนี้อีกด้วย แต่ก็ได้เพื่อนคนหนึ่งของผมช่วยจัดเรียงเพลงที่ผมจะใช้สอนให้ในคืนสุดท้าย(20.00น.)ก่อนที่จะสอน  เมื่อได้เพลงผมก็รีบนำกลับมาฟังที่บ้านและจัดเรียงท่าที่เตรียมไว้ให้เหมาะกับจังหวะเพลง แต่ก็ต้องรีบนอนเพราะต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ผมตัดสินใจตื่นตอนตีสี่ครึ่งเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำอาบท่าและเดินทางไปซ้อม ณ สถานที่จริงๆเลย(บางกอก คอนเวนชั่น ฮอลล์, โรงแรม แกรนด์ เซ็นทารา, ด้านหลังเซ็นทรัลเวิร์ลด)  หลังจากการซักซ้อมเล็กน้อยของผม(ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ในการซักซ้อม) ทุกอย่างก็มาลงตัวในตอน หกโมงเช้า

ก่อนที่จะถึงเวลาสอน ยิ่งใกล้เวลาสอนมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ผมนึกถึงตลอดในขณะนั้นที่ตื่นเต้นที่สุด ก็คือคุณแม่ผู้ล่วงลับไปแล้วของผม ผมคิดว่าถ้าหากคุณแม่ยังอยู่ท่านคงจะภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้ไม่มากก็น้อย และคงต้องเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ให้ผมอย่างแน่นอน ทุกครั้งที่ผมมีเรื่องหนักใจอะไร ทุกครั้งที่ผมต้องการกำลังใจ ทุกครั้งที่จะต้องเดินทางไกลไม่ว่าจะไปต่างจังหวัดหรือจะไปต่างประเทศ ผมจะต้องโทรไปพูดคุย ขอคำปรึกษา ขอกำลังใจจาก ขอคำอวยพรจากคุณแม่ของผมเสมอๆตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่  ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามแต่ลูกของแม่คนนี้ก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดและจะไม่ทำให้คุณแม่ผิดหวัง

และเมื่อถึงเวลาสอนจริง 7.00น. พอเริ่มพูดได้แค่สองสามคำเท่านั้นความตื่นเต้นทั้งหมดก็หายไปจากผมจนหมดสิ้น(ประหนึ่งว่า องค์ลง, ร่างประทับ) ผมสอนได้เหมือนอย่างที่ผมเคยสอนในคลาสทั่วๆไป ทำอย่างที่ผมเคยทำ มันคงเป็นทักษะ ที่เกิดขึ้นจากการที่เราสอนเป็นประจำทุกๆวัน และฝังลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใจ ผมจึงสอนได้อย่างไม่มีความเขินอายหรือติดขัดแต่อย่างใด ในคลาสของผมมีผู้เข้ามาเรียน ประมาณ 24คน จากจำนวน24คนที่เข้าร่วมคลาสของผมเป็นชาวไทยเพียงคนเดียวเท่านั้น(แน่นอน บางท่านก็มาช้าบ้างเพราะไม่คุ้นเคยสถานที่ บางท่านก็ตื่นสายบ้าง) ซึ่งบางท่านอาจจะสงสัยว่างานก็ดูน่าจะใหญ่โตแต่ทำไมมีคนเข้าคลาสแค่นี้เอง เนื่องจากในเวลาเดียวกันกับที่ผมสอนนี้เอง 7.00น. ยังมีคลาสอื่นๆอีก 5คลาส และที่สำคัญมีคลาสโยคะของนิกกี้ ดูร้านท์(ลูกศิย์ของเอ็ดเวิร์ด คลาร์ก แห่ง ทริปซิโคโยคะ, ลอนดอน, อังกฤษ) ที่ห้องข้างๆ ห้องที่ผมสอนอีกด้วย จึงมีการเฉลี่ยกระจายจำนวนคนไปตามห้องต่างๆแล้วแต่จะเลือกเข้าเรียน ซึ่งผมก็สอนอย่างที่ผมเตรียมเลยครับ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ อารมณ์ขำขันสนุกสนานในคลาสตามสไตล์ของผม

และเมื่อผมสอนจนจบคลาสแล้ว ดูจากสีหน้าแววตาของทุกคนที่เข้าร่วมคลาสของผม เขาค่อนข้างจะโอเคครับ(คิดไปเองหรือเปล่าครูจิมมี่?) ถึงแม้นว่าบางคนจะไม่ค่อยมีประสบการณ์ในการฝึกโยคะก็ตาม แต่บรรยากาศก็เป็นการประยุกต์นำท่าฝึกโยคะอาสนะมาจัดเรียงให้เกิดเป็นการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องสนุกสนาน ในสไตล์หฐะวินยาสะโยคะที่ผมถนัด ก็ถือได้ว่าเป็นการออกกำลังกายตอนเช้าอีกรูปแบบหนึ่ง และไฮไล้ท์สำหรับผมตอนนั้นก็คือเมื่อจบคลาส หญิงชาวอินเดีย 2ท่านที่เข้าร่วมคลาสกับผมเดินเข้ามาหาผมและแสดงความขอบคุณพร้อมกับบอกผมว่าเขาชอบคลาสของผมมาก เขาถามผมหลายอย่าง คือ คุณเรียนจากใครมา? คุณสอนมานานกี่ปีแล้ว? หากคุณไม่ว่าอะไร ดิฉันขอนำท่าชุดที่คุณสอนทั้งหมดในวันนี้ไปสอนได้ไหม? แต่ดิฉันจำได้ไม่หมด คุณบอกหน่อยได้ไหมว่ามีท่าอะไรบ้าง? ก็หัวใจพองโตเล็กน้อย ผมตอบคำถามเขาทุกคำถามรวมจนรับปากกับเขาว่าถ้าเขาส่งอีเมล์มาหาผม ผมก็จะเขียนท่าที่ใช้สอนทั้งหมดให้กับเขา แบบไม่มีปัญหาอะไรเลย  ในการสอนคลาสนี้เกือบทุกท่าที่ผมสอนผมบอกชื่อท่าเป็นภาษาสันสกฤต และภาษาอังกฤษคู่กันไปตลอด ซึ่งคงเป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญและบ่งบอกให้เขาพอจะทราบได้ว่าผมคงต้องฝึกและเรียนโยคะมาพอสมควร

ผมมาทราบในภายหลังว่า ชาวอินเดียกลุ่มนี้กำลังจะซื้อลิขสิทธิ์ของสถาบันฟิตของเราไปเปิดที่ประเทศอินเดียในเร็วๆนี้ ปัจจุบัน สถาบันฟิต ของเรามีสาขาอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย, สิงคโปร์ และ อินโดนีเซีย ก็ขอให้สถาบันฟิตของเราจงก้าวไกลยิ่งใหญ่ในเอเชีย

สำหรับในปีหน้าทางฝ่ายจัดงานก็ยังไม่ได้สรุปว่าจะไปจัดงานนี้ที่ประเทศใด ส่วนผลตอบรับจาก
คลาสของผม ผมก็ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ทั้งนั้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าทุกอย่างมันโอเคและเข้าตาทางฝ่ายจัดงาน ในปีหน้า ของเอเชีย ฟิตเนส คอนเวนชั่น คงจะได้เห็นครูจิมมี่คนนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นพรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง และสิ่งนี้แหล่ะที่จะบอกผมได้ถึงผลตอบรับที่แท้จริงจากสอนโยคะของผมในงานนี้ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป

ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับผมและผู้ฝึกโยคะทุกคนตลอดไป

รบกวนทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อก ทั้งตั้งใจและบังเอิญเข้ามาอ่านก็ดี ทุกความคิดเห็นของท่านมีความสำคัญมากๆสำหรับผม โปรดช่วยแสดงความคิดเห็น ด้านล่างของบทความทุกบทความที่ท่านให้เกียรติเข้ามาอ่าน เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไข ให้กับผู้เขียนในโอกาสต่อไป หรือหากท่านต้องการส่งข้อความแสดงความคิดเห็นแบบส่วนตัวหรือเข้าไปเยี่ยมชมรูปภาพของครูจิมมี่ ก็สามารถติดต่อได้ที่ e-mail: jimmythaiyoga@yahoo.com www.facebook.com. โดยค้นหาจาก คำว่า Jimmy Yoga หรือ e-mail ขอบพระคุณมากๆครับ


นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ต้องขอขอบพระคุณมากๆ คือ


ผู้จัดงาน Asia Fitness Convention 2010 ที่ให้โอกาสครั้งสำคัญในชีวิตการสอนโยคะของผม เป็นวิทยากรตัวแทนของประเทศไทยเพียงคนเดียวในงานนี้


กำลังใจที่สำคัญมากๆจากทุกๆคนในครอบครัวของผม


ทีมงาน สถาบันฟิต ทุกๆท่าน ที่ให้โอกาส ให้กำลังใจและคอยเป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวเข้ามาสู่การเป็นครูสอนโยคะ ระดับนานาชาติ


คุณวิจิตรา โอสถศิลป์(พี่เฮ๋า) กรรมการผู้จัดการ ฟิต สตูดิโอ ที่ช่วยแนะนำ การใช้คำพูดภาษาอังกฤษที่ผมควรจะต้องใช้ในการสอนครั้งนี้


คุณวนิดา โยคะโอม  ตัวแทนจำหน่ายเสื่อโยคะแมนดูกะ เพียงผู้เดียวในเมืองไทย ที่สนับสนุนเสื่อโยคะแมนดูกะ รุ่น Eco Super Lite ให้ผมได้นำเสื่อโยคะดีๆมาใช้สอนในงานนี้


คุณนิค ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไนกี้ ประเทศไทย ช่วยสนับสนุนเสื้อผ้าไนกี้ ให้ผมใส่สอนโยคะในงานนี้ และที่ผมใส่สอนอยู่ทุกๆวันนี้จนเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้วว่า ครูจิมมี่มักใส่ไนกี้เสมอ


คุณโอ่ง Super Personal Trainer เพื่อนผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยี่ ที่ช่วยจัดเรียงลำดับเพลงที่ผมต้องใช้ในการสอนครั้งนี้

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

Jivamukti Yoga Workshop at Fit Studio ชีวมุกติโยคะเวิร์คชอป ที่ ฟิต สตูดิโอ

(เดวิด ไลฟ์, คี้ท เคมปิส และ ชารอน แกนน่อน)

Jivamukti Yoga Workshop at Fit Studio
ชีวมุกติโยคะเวิร์คชอป ที่ ฟิต สตูดิโอ

ในวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2553 (ทั้งวัน 9.30-16.00น.) ทาง ฟิต สตูดิโอ ของเราจะมี ชีวมุกติโยคะเวิร์คชอป โดยครู คี้ท เคมปิส(ชาวออสเตรเลีย เชื้อสายฟิลิปปินส์) ที่อยากแนะนำให้ทุกๆท่านมาเข้าร่วม เขาเป็นทั้งศิษย์เอกและผู้ช่วยสอนของ เดวิด ไลฟ์ และ ชารอน แกนน่อน ผู้ก่อตั้ง ชีวมุกติโยคะ สตูดิโอ นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา

(ครูคี้ท และ ครูจิมมี่ ใน เอเชียโยคะคอนเฟอร์เร้นท์ 2009 ที่ ฮ่องกง)

ด้วยความใกล้ชิดกับทั้งสองปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ชีวมุกติโยคะ สตูดิโอ จึงทำให้ คี้ท เคมปิส เป็นผู้เข้าถึงหลักการสอนชีวมุกติอย่างไม่ต้องสงสัย ผมมีโอกาสได้เจอ คี้ท เคมปิส ครั้งแรกตอนผมเดินทางไปเข้าร่วมเวิร์คชอป กับเดวิด ไลฟ์และชารอน แกนน่อน ในเอเชียโยคะคอนเฟอร์เร้นท์ ที่ประเทศฮ่องกง ด้วยความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของเขาจึงทำให้ได้พูดคุยกับผมอยู่หลายครั้ง ทำให้ผมได้ทราบข้อมูลว่าเขาเดินทางมาพักผ่อนและทำกิจกรรมเพื่อการกุศลที่เมืองไทยบ่อยมากๆ(ที่เขาหลัก จ.พังงา ช่วยฟื้นฟู หลังจากภัยซึนามิ) อย่างน้อยปีละ 1ครั้ง ผมจึงทำสนธิสัญญากับเขาว่าทุกครั้งที่เขามาเมืองไทยจะต้องบอกผมและมาสอนเวิร์คชอปโยคะให้กับสตูดิโอของผม ครั้งที่แล้วที่เขามาก็คือปีที่แล้วนี่เอง ตอนนั้น ฟิต สตูดิโอ ยังไม่ได้ปรับปรุงสถานที่ของเราค่อนข้างจะคับแคบ และเป็นเวิร์คชอปแบบไม่เป็นทางการ ในครั้งนี้เรามีความพร้อมทุกๆด้าน จึงคิดว่าเวิร์คชอปน่าจะสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

(ครูคี้ท ช่วยปรับท่าให้นักเรียน สถาบันฟิต เมื่อปีที่แล้ว 2552)

เงินที่ ครูคี้ท เคมปิส จะได้รับจากการสอนในครั้งนี้เขาตั้งใจจะมอบให้โรงเรียนดอนบอสโก ที่เขาหลัก จ.พังงา ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ คี้ท มักจะไปทำกิจกรรมการกุศลให้เป็นประจำทุกๆปี

เวิร์คชอปจะแบ่งเป็น 2ช่วงคือ

ช่วงเช้า 9.30-12.00น. หัวข้อ การเรียนรู้และเข้าใจในวิถีของธรรมชาติและสัตว์ป่า
จากการเฝ้าสังเกตสัตว์ต่างๆของโยคีในอดีตกาลจึงกลายมาเป็นท่าฝึกโยคะอาสนะต่างๆมากมายที่เราใช้ฝึกกันในปัจจุบัน ซึ่งในเวิร์คชอปหัวข้อนี้เราจะเรียนรู้การสวดมนตราเพื่อกำหนดจิต การทำสมาธิขั้นพื้นฐานและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและสัญชาตญาณของสัตว์ต่างๆ ผ่านท่วงท่าการฝึกโยคะ ที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการหายใจ(วินยาสะ) ซึ่งในที่สุดคุณอาจจะหลงรัก เข้าใจธรรมชาติของสัตว์ และ ลด ละ เลิก การเบียดเบียนชีวิตสัตว์ต่างๆในที่สุด

ช่วงบ่าย 13.30-16.00น. หัวข้อ อาสนะคือทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง
ทำไมคุณถึงมาฝึกโยคะ? ซึ่งแน่นอนโยคะเป็นศาสตร์ที่น่าสนใจ และมีอะไรมากมายกว่าที่เราคิดไว้ ซึ่งในท่วงท่าที่อ่อนช้อยสวยงามทั้งหลายของโยคะอาสนะที่เราฝึกนี้ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนเร้นแอบแฝงไว้เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจเราทั้งหลาย เช่น การทำท่าโยคะอาสนะที่ต้องโค้งแอ่นหลังอาจจะซ่อนความหมายของการต้องการให้เราขยายหน้าอกให้กว้าง เปิดใจให้กว้าง เข้าใจผู้อื่น หรือ การทำท่ากลับหัว ประเภทเท้าชี้ฟ้าศีรษะทิ่มดินต่างๆ ก็น่าจะให้แนวคิดกับเราในเรื่องของการเปลี่ยนมุมมองในการมองโลกและการใช้ชีวิตในมุมที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่คุณจะได้สัมผัสจากเวิร์คชอปหัวข้อนี้ และก็ไม่แน่หลังจากที่คุณเข้าร่วมเวิร์คชอปนี้แล้ว อาจจะทำให้คุณมีมุมมองและแนวทางในการใช้ชีวิตที่สวยงามแตกต่างไปจากเดิม

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมการกุศล ชีวมุกติโยคะเวิร์คชอป โดยครู คี้ท เคมปิส วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2553 เวลา 9.30-16.00น. ค่าใช้จ่ายเพียงท่านละ 2,000 บาท(รวมอาหารมังสวิรัต มื้อกลางวัน)

สามารถ สำรองที่นั่ง สำหรับการฝึกอบรมได้โดยการ โอนเงิน ผ่าน บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาเพลินจิต ชื่อบัญชี ฟิต สตูดิโอ เลขที่บัญชี 205-0-588-51-2


หลังจากโอนเงินเรียบร้อยแล้วกรุณา แฟ๊กเอกสารการโอนเงินมาที่ 02 650 9464 และโทร แจ้ง 02-650-8282

สามารถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฟิต สตูดิโอ โทร. 02 650 8282

รับจำนวนจำกัด ไม่เกิน 24 ท่าน เท่านั้น

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ





ป้ายกำกับ

Powered By Blogger