ก้าวแรกสู่อินเดีย ของครูจิมมี่(Jimmy in Mysore 2)
พอกล่าวถึงการเดินทางมาประเทศอินเดีย
เชื่อได้เลยครับว่าชาวไทยอย่างเราๆหลายๆคนคงมีทัศนคติในเชิงลบกับการเดินทางมายังประเทศนี้
เพราะเรามักจะได้ยินการเล่าขานต่อๆกันมาถึงความสกปรกต่างๆ ความยากลำบากในการเข้าห้องน้ำห้องสุขา
รวมจนถึงน้ำดื่มและอาหารการกินต่างๆของประเทศอินเดีย
ผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยเดินทางมาประเทศอินเดีย
ได้แต่ฟังคนโน้นคนนี้เล่าเรื่องราวต่างๆนานาสารพัดสารพันเกี่ยวกับอินเดียให้ฟัง
แล้วก็เคยได้ดูสารคดีต่างๆเกี่ยวกับประเทศอินเดียมาบ้างพอสมควร พูดตามตรงเลยครับจากการที่ได้รับข้อมูลข่าวสารต่างๆนานามา ก็ทำให้ผมรู้สึกติดลบกับประเทศนี้เล็กน้อยเช่นกันครับ
แต่ลึกๆในใจผมเองก็คิดว่าที่ประเทศอินเดียน่าจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการใช้ชีวิตที่น่าสนใจ
เพราะไม่งั้นหลายๆคนจะเดินทางมาประเทศอินเดียกันทำไม? ประเทศนี้ต้องมีอะไรดีซิ! ไม่งั้นคนจากทั่วโลกคงไม่หลั่งไหลเดินทางมาท่องเที่ยวและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับปรัชญา
แพทย์ทางเลือก(อายุรเวท)ที่ประเทศนี้กันหรอก
อย่างน้อยที่สุดต้นกำเนิดของศาสนาหลายๆศาสนารวมจนถึงศาสนาพุทธของเราก็เกิดขึ้นที่ประเทศนี้
และสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมและครูสอนโยคะหลายๆท่านรู้สึกอยากจะเดินทางมาที่ประเทศอินเดียเป็นอย่างมากก็คือการที่อินเดียเป็นต้นกำเนิดของศาสตร์แห่งโยคะที่ผมได้ใช้ศาสตร์นี้เป็นวิชาชีพทำมาหากินส่งเสียเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว
ผมตั้งใจเดินทางมาประเทศอินเดียในครั้งนี้
ก็เพื่อจะมาฝึกโยคะที่ K
Pattabhi Jois Ashtanga Yoga Institute(KPJAYI) เมืองมัยซอร์ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2555
ถึง 30 มกราคม 2556 รวมเป็นเวลาประมาณ 1เดือน
การเดินทางมาเมืองมัยซอร์
ผมได้รับข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์หลายๆท่านให้ เดินทางด้วยเครื่องบินมาลงที่สนามบินบังคาลอร์
จากนั้นก็เลือกเอาว่าจะเดินทางต่อไปยังเมืองมัยซอร์ด้วยรถแท็กซี่,
รถโดยสารประจำทาง หรือรถไฟ
ผมเลือกบินตรงจากกรุงเทพฯ-บังคาลอร์(อินเดีย)
ด้วยสายการบินไทย ไป-กลับ ราคาอยู่ประมาณ19,000บาทครับ ถามว่าตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกกว่านี้มีไหม? คำตอบคือ “มีครับ”
แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการเดินทางมากขึ้น และอาจจะต้องไปหยุดเปลี่ยนเครื่อง
สรุปเปรียบเทียบกันดูแล้วราคาก็ประหยัดกว่าแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เพื่อจะได้ไม่ต้องวุ่นวายและไม่เสียเวลา ผมก็เลยไม่ลังเลใจที่จะเลือกสายการบินไทย
เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น ราคาค่าตั๋วเครื่องบินจึงค่อนข้างจะสูง
บวกกับการบริการและชื่อชั้นของสายการบินเข้าไปด้วยแล้ว
ก็ถือว่าเป็นราคาที่สมเหตุสมผลครับ ผมได้เที่ยวบิน TG 325 ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 21:35น. และจะเดินทางจะไปถึงสนามบินบังคาลอร์(อินเดีย) เวลา 23:55น.(ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอินเดีย
ซึ่งเวลาจะช้ากว่าเมืองไทยประมาณ 1ชั่วโมงครึ่ง
ครับ)
การบริการของสายการบินถือว่าค่อนข้างดีมากเลยล่ะครับสำหรับผม ตอนที่จองตั๋วเครื่องบินนักเรียนโยคะผู้มีใจเมตตาของผมท่านหนึ่งได้อาสาเป็นภาระในการจองตั๋วเครื่องบินให้กับผม
เธอพอจะทราบถึงลักษณะพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผม จึงสั่งอาหารบนเครื่องบินให้ผมพิเศษเป็นเมนูปลา
ก็อร่อยดีครับ
ส่วนด้านหน้าที่นั่งก็มีจอแอลซีดี
ไว้ให้เราสามารถเลือกชมภาพยนตร์ได้ถึงประมาณ
สามสิบกว่าเรื่อง(สรุปคือพอเครื่องขึ้นผมก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยล่ะครับ นั่งดูหนังจากเมืองไทยไปจนถึงสนามบินบังคาลอร์เลยทีเดียว
ดูไปได้เกือบๆ สองเรื่องเลยล่ะครับ)
(ภาพของ ที่สำหรับให้มือจับของรถเข็นสัมภาระในสนามบินบังคาลอร์)
ผมมาถึงสนามบินบังคาลอร์ตรงตามเวลา สนามบินแห่งนี้ถือว่าเป็นสนามบินที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่
จึงค่อนข้างที่จะทันสมัย สะดวกสบาย ห้องน้ำสะอาด
ก๊อกน้ำใช้ระบบไฟฟ้าเซ็นเซอร์แสงเหมือนตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆในบ้านเรา(ห้องน้ำสะอาดและเผลอๆจะดูดีกว่าสนามบินสุวรรณภูมิของเราด้วยล่ะครับขอบอก
ที่เขาว่าอินเดียสกปรกกว่าไม่จริ๊ง ไม่จริง)
จากนั้นผมก็ไปรอรับกระเป๋า
ก็ได้สัมภาระครบในเวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง และใช้รถเข็นของสนามบินเดินลำเลียงสัมภาระออกมาจากสนามบิน(สัมภาระของผมมี 3ชิ้นหลักๆก็คือ กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ความจุประมาณ
25กิโลกรัม 1ใบ,
กระเป๋าเป้สะพายหลังไนกี้ 1ใบ,
กระเป๋าใส่เสื่อโยคะพร้อมกับเสื่อโยคะแมนดูกะรุ่นโปรไลท์ อีก 1ใบ)
ผมเดินออกมามองหาคนขับรถแท็กซี่ ที่ครูไนเจล
มาแชล เป็นผู้ประสานงานเพื่อให้มารอรับผมที่สนามบิน ก็ค่อนข้างสะดวกและไม่วุ่นวายครับ หากเรามีคนมารอรับ
เพราะเมื่อแท็กซี่ผี+เถื่อนทั้งหลาย พอเห็นว่าเรามีคนท้องถิ่นมารอรับ
ก็จะไม่ค่อยมาตอแยคล่องแวะอะไรกับเรา ผู้ที่ขับแท็กซี่มายืนรอรับผมที่สนามบินเพื่อไปส่งผมยังที่พักที่เมืองมัยซอร์
ได้ถือแผ่นกระดาษเขียนเป็นชื่อของผมไว้อย่างชัดเจนว่า “Jimmy Yoga to Mysore” ณ
จุดนี้สะดวกดีไม่มีปัญหา...แต่ขณะที่กำลังเดินตามคนขับรถแท็กซี่ไปนั้น ในใจของผมก็เริ่มเกิดจินตนาการถึงสภาพของรถแท็กซี่ที่เขาขับมารับผมไปต่างๆนานา
คิดว่าถ้าเป็นทุกๆท่านก็คงจะคิดเช่นเดียวกันกับผมล่ะครับ คือ รถจะเก่ามากน้อยเพียงใดหนอ?
รถขับไปแล้วจะติดๆดับๆไหมหนอ? ดึกๆแบบนี้คนขับจะพาเราออกนอกเส้นทางไหมหนอ?
พูดกันง่ายๆก็คือ จังหวะนี้อะไรที่ไม่ค่อยดี
ความคิดที่เป็นไปในแง่ลบต่างๆนานาลำเลียงเข้ามาอยู่ในหัวสมองของผมทั้งหมดเลยล่ะครับ
แต่พอได้เห็นรถก็เริ่มโล่งอก
ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เป็นรถซิตี้คาร์ยี่ห้อ”ทาทา” ขนาดกะทัดรัด 4ประตู
ขนาดรูปทรงของรถดูแล้วสูสีกับ ฮอนด้า แจ๊ส, โตโยต้า ยาริส,ประมาณนั้น
คือเนื่องจากเป็นรถขนาดเล็กจึงไม่มีพื้นที่สำหรับให้เก็บสัมภาระด้านหลัง
สรุปกระเป๋าสัมภาระของผมทั้งหมดอยู่ที่เบาะที่นั่งด้าน หลัง และส่วนตัวผมมานั่งคู่กับคนขับรถตรงที่นั่งด้านหน้า
จากการสอบถามพูดคุยกับคนขับรถ(คุยกันรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง) ก็ได้ข้อมูลมาว่า
คนขับรถเขาชื่อ มหาเทพ(Mahadev)
รถคันนี้เป็นรถของเขาเอง
ซึ่งจะรับงานผ่านนายหน้ามาอีกทีหนึ่ง เขาจะใช้เวลาในการขับรถจากสนามบินบังคาลอร์ไปยังที่พักของผมที่เมืองมัยซอร์
ประมาณเกือบๆสี่ชั่วโมง หากไม่หยุดพักรถบ่อย(งั้นก็อย่าหยุดบ่อยเลยพ่อคุณ
ต้องนั่งรถเป็นเวลานานพอๆกับขึ้นเครื่องบินจากเมืองไทยมาอินเดียเลย)
ถนนหนทางจากสนามบินบังคาลอร์ไปยังเมืองมัยซอร์
ณ ปัจจุบันนี้ถือว่าค่อนข้างดีครับ จะมีแค่เพียงบางช่วงบางตอนเท่านั้นที่กำลังก่อสร้างและซ่อมแซมอยู่บ้าง
ระหว่างทางในขณะที่ขับรถมา มหาเทพ(Mahadev) ก็ได้เปิดเพลงอินเดี้ย อินเดียให้ผมฟังด้วยล่ะครับ(จริงๆพี่แก
ก็คงอยากจะเปิดเพลงฟังเองนั่นแหล่ะ แต่ทำทีมาถามผมเป็นมารยาท)
ฟังแล้วก็ได้บรรยากาศแบบอินเดียดีครับ ทั้งคนขับรถและผมต่างก็มีการโยกศรีษะตามจังหวะเพลงเป็นระยะ
ตลอดระยะเวลาในการเดินทาง มหาเทพหยุดรถแค่สามครั้งเท่านั้นครับ
ซึ่งในแต่ละครั้งก็ไม่ได้หยุดนาน ครั้งแรกหยุดเพื่อเติมน้ำมันรถ,
ครั้งที่สองหยุดเพื่อไปรอรับกุญแจที่พักของผม, ครั้งที่สามคือหยุดพักจิบชาอินเดียอุ่นๆที่ขายอยู่ข้างทาง
(น้ำมัน อินเดียนออยล์)
(คนขายน้ำชา ซึ่งอยู่ภายในซุ้มร้านขายน้ำชาและขนมข้างทาง)
(ชานมร้อนๆ ในถ้วยพลาสติกขนาดเล็ก)
เรื่องวัฒนธรรมการดื่มชาที่ร้านข้างทางของอินเดีย
นี่ก็น่าสนใจครับ จากข้อมูลที่ผมได้มาก็คือ ก่อนหน้านี้ถ้วยจะผลิตจากดินเผาครับ
สีสันคล้ายสีของกระถางต้นไม้บ้านเรา แต่มีขนาดเท่ากับถ้วยกาแฟ
พอดื่มเสร็จก็ต้องทุบทำลายถ้วยทิ้งกันทันทีที่แถวๆบริเวณร้านขายน้ำชานั่นล่ะครับ
เหตุผลคือเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ที่อยู่ต่างวรรณะนำถ้วยนี้กลับไปใช้ซ้ำต่อได้อีก
แต่ปัจจุบันนี้ได้เริ่มมีการนำถ้วยพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเข้ามา ถ้วยชาดินเผาของอินเดียแบบเดิมจึงเริ่มมีผู้ใช้ลดน้อยลงไป
ตลอดระยะเวลาของการเดินทางนี้ผมก็ได้ซาบซึ้งถึงวัฒนธรรมการขับรถของคนอินเดีย
คือ นอกเหนือจากการใช้แตรรถคอยช่วยเป็นเสียงสัญญาณเตือนแล้ว เขาจะต้องบีบแตรรถทุกๆช่วงสถานการณ์เลยล่ะครับ
ทั้งก่อนที่จะสตาร์ทรถ, ก่อนที่รถจะออกตัว, ก่อนที่จะแซง, ก่อนที่จะหยุดรถ
และอื่นๆอีก ถ้าไม่ทำเขาอาจจะถือว่าเป็นการไม่สุภาพน่ะครับ 555!!!
(มหาเทพ กำลังยืนมองที่พักว่า มาถูกที่หรือไม่? อิๆๆ)
ในที่สุดมหาเทพก็พาผมมาถึงที่พักที่เมืองมัยซอร์
ในเวลาประมาณตีสี่เศษๆของเช้ามืดวันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม
2555 มหาเทพช่วยแบกกระเป๋าสัมภาระของผมขึ้นไปบนห้องพักที่อยู่ชั้นดาดฟ้าของอาคาร
3ชั้น และเปิดห้องพักให้ผมดุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆในห้อง
รวมถึงระบบน้ำและไฟฟ้าต่างๆ ผมถามมหาเทพถึงเรื่องค่ารถแท็กซี่
มหาเทพบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินที่เขาให้ผมไปจ่ายที่ออฟฟิศเลย ผมจึงหยิบเงินทิปให้มหาเทพไป
100รูปี พร้อมกับกล่าวขอบคุณที่เขาได้พาผมมาส่งยังที่พักโดยสวัสดิภาพ
และมหาเทพก็เดินจากไปด้วยความรีบเร่ง ทิ้งไว้แต่เพียงปริศนาที่ทำให้ผมต้องค้างคาใจต่อไปว่า
“แล้วออฟฟิศที่ต้องไปจ่ายเงิน อยู่ที่ไหนอ่ะ???”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอพลังแห่งโยคะ ความรักและศรัทธาจงอยู่กับทุกๆคนตลอดไป บุญรักษา พระคุ้มครอง
นมัสเต,
จิมมี่โยคะ