เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

เช้าวันใหม่(ซึ่งเป็นวัน Moon Day)ในมัยซอร์ อินเดีย ของครูจิมมี่(Jimmy in Mysore 3)



เช้าวันใหม่(ซึ่งเป็นวัน Moon Day)ในมัยซอร์ อินเดีย ของครูจิมมี่(Jimmy in Mysore 3)


เช้ามืดของวันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2555 เวลาประมาณตีสี่กว่าๆ หลังจากที่ผมได้เข้าสู่ที่พัก ซึ่งเป็นอาคาร 3ชั้น(ห้องพักผมอยู่บนชั้นดาดฟ้าของอาคารนี้) เลขที่ 742,  12th Cross , 3rd Stage, Gokulam, Mysore, India เป็นที่เรียบร้อยแล้ว, ซึ่ในส่วนของที่พักนี้ผมพอจะทราบราคามาคร่าวๆก่อนหน้าที่จะเดินทางมาแล้ว ราคารวมหมดทุกอย่างแล้ว น้ำ, ไฟ, เฟอร์ฯ ตกอยู่ที่เดือนละ 8,500รูปี ก็ประมาณ 4,800บาทครับ, ส่วนค่ารถแท็กซี่จากสนามบินมายังที่พักก็ราคา 2,300รูปี ประมาณ 1,300บาท ครับ  แต่ตอนนี้ก็คิดแค่เพียงว่าน่าจะนอนพักเอาแรงสักหน่อยดีกว่า หลังจากที่ได้เดินทางมาแบบเครื่องบินต่อด้วยรถยนต์ รวมแล้วใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดประมาณ 7 – 8 ชั่วโมง ก็ขอนอนพักสักหน่อยแล้วกัน พอตื่นมาตอนเช้าแล้วค่อยว่ากันใหม่ ว่าจะทำอะไรต่อดี และก็จะได้ไปสอบถามต่อถึงในสิ่งที่ยังคาใจว่า ค่าเช่าห้องและค่ารถ จะต้องไปจ่ายที่ออฟฟิศไหน? 


(ภาพอาคาร 3ชั้น ที่พักอาศัยของผม)



                                   (ด้านหน้าของอาคารที่พักของผม)


                               (ภาพของชั้นดาดฟ้า หน้าห้องพักของผม)


(เตียงนอน ขนาดกระทัดรัดสำหรับนอนได้เพียงคนเดียว)




(อุปกรณ์ เครื่องครัว, เครื่องใช้ต่างๆ ที่มีอยู่ในห้องพัก)




(เครื่องทำน้ำอุ่น ภายในห้องน้ำ) 




(สุขภัณฑ์ของห้องน้ำ ภายในห้องพักของผม) 




(ซิ๊งค์อ่างน้ำ, และชั้นวางของภายในห้องพัก ซึ่งอยู่ติดกับประตูห้อง)

ผมก็นอนไปจนถึงเวลาประมาณเกือบๆ 10:00น. ก็ต้องมาตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูห้องพัก ปรากฏว่าไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นครูไนเจล มาแชล นั่นเอง ที่มาหาผมถึงที่ห้องพัก ประโยคแรกที่ครูไนเจลพูดกับผมก็คือ “เป็นไงบ้างจิมมี่ ทุกอย่างโอเคใช่ไหม ยินดีต้อนรับสู่เมืองมัยซอร์” แล้วก็เดินเข้ามากอดผมตามธรรมเนียมของชาวต่างชาติที่มีความสนิทสนมกัน  หลังจากที่รอผมล้างหน้า,แปรงฟันเสร็จแล้ว ครูไนเจลก็พาผมไปทานอาหารเช้าที่ร้าน Santosha เป็นร้านขายอาหารเฉพาะมื้อเช้า ที่ได้รับความนิยมมากๆอีกร้านหนึ่ง ในหมู่ของนักเรียนผู้ฝึกโยคะที่ KPJAYI. ราคาก็ถือว่าไม่แพงมากครับ อาหารทั้งหมดที่พวกเราได้รับประทานกันไปคิดเป็นเงินแล้วก็ตกประมาณคนละ 150รูปี ครับ


                    (ลักษณะของบ้านเรือนที่มัยซอร์ ย่านใกล้ๆกับศาลาฝึก KPJAYI.)


  (อาคาร รถลาถนนหนทาง ที่มัยซอร์ อินเดีย) 




 
                            (ป้ายรถเมล์ ย่าน Gokulum เมืองมัยซอร์ อินเดีย)


                       (ถนนเส้นหลัก ย่าน Gokulum เมืองมัยซอร์ อินเดีย)

หลังจากที่ได้รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว ครูไนเจลก็ได้พาผมเดินดูสถานที่ต่างๆที่อยู่ระแวกนั้น ที่คิดว่าน่าจะมีความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของผมที่เมืองมัยซอร์แห่งนี้(อารมณ์คล้ายไกด์นำเที่ยวน่ะครับ พาลูกทัวร์ซึ่งมีแค่ผมเพียงคนเดียวไปดูสถานที่ต่างๆ) ระหว่างทางครูไนเจลก็บอกว่า เมืองมัยซอร์ระแวกที่เราอยู่นี้มีความแตกต่างจากที่อื่นๆในอินเดีย และบอกให้ผมลองสำรวจมองดูบ้านเรือนที่นี่ พอผมกวาดสายตาสำรวจมองไปรอบๆปุ๊บ ครูไนเจลก็พูดเสริมต่อทันทีว่า จากบ้านเรือนที่เราเห็นนี้บ่งบอกได้เลยว่าระแวกนี้เป็นย่านของคนอินเดียที่มีชาติตระกูลดี, ฐานะดี, มีการศึกษา(หลังจากได้ฟังประโยคนี้เสร็จ..ผมก็แค่คิดในใจขึ้นมาเล่นๆว่า งั้นผมกับครูไนเจล ก็คงไม่เหมาะล่ะมั้งที่จะมาอยู่แถวๆนี้ อิๆๆ) ครูไนเจลบอกต่ออีกว่า ผู้คนที่เมืองมัยซอร์นี้ก็ไม่ชุลมุนวุ่นวาย ถนนหนทางก็ดูสะอาดตาถึงจะไม่ค่อยเป็นระเบียบสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่สกปรกเลอะเทอะ  อันนี้ผมเชื่อครับเพราะได้มาเห็นกับตา ได้มาสัมผัสกับตัวเอง  ขอยืนยันว่ามันเป็นความจริง



                (ด้านหน้าของศาลาฝึก K Pattabhi Jois Ashtanga Yoga Institute)

และสถานที่แรก ที่ครูไนเจลได้พาผมมาก็คือ ที่ศาลาฝึก KPJAYI. ในที่สุด สถานที่ ที่ผมเฝ้าใฝ่ฝันอยากจะมาและเป็นดังไฟปรารถนาในใจผมเสมอมา ตอนนี้ผมได้มายืนอยู่ที่นี่แล้วครับ ณ ตอนนั้นผมเองก็รู้สึกยินดีปรีดาอยู่ภายในจิตใจอย่างมากมายเลยทีเดียวล่ะครับ ครั้นจะแสดงออกด้วยการเดินเข้าไปจูบป้ายด้านหน้าศาลาฝึก หรือจะก้มลงกราบที่ด้านหน้าทางเข้าศาลาฝึก หรือร้องตระโกนเสียงดังๆออกมาด้วยความดีใจ ก็เกรงว่ามันจะออกนอกหน้าจนเกินงาม  ผมจึงได้แต่ยืนยิ้มแก้มแทบปริอยู่ที่ด้านหน้าของศาลาฝึก KPJAYI. 

เนื่องจากวันนี้เป็นวัน  Moon Day (ข้างขึ้น/ข้างแรม ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ) ศาลาฝึกก็จะปิดทำการน่ะครับ เรื่องนี้มีเหตุผลสืบเนื่องมาจากว่ากูรูทางด้านอัษฎางคโยคะท่านได้รับแนวความคิดสืบต่อกันมาว่าปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของดวงจันทร์น่าจะมีผลกับการเพิ่มขึ้นและลดลงของปริมาณน้ำและของเหลวทุกๆอย่างบนโลกของเรา  ซึ่งเราสามารถสังเกตง่ายๆได้จากน้ำทะเลที่จะมีการเพิ่มขึ้นและลดลงตามอิทธิพลของดวงจันทร์, การฝึกโยคะในสไตล์อัษฎางคโยคะที่เมืองมัยซอร์นี้ ผู้ฝึกมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสมรรถภาพทางด้านร่างกายและจิตใจที่พร้อมมากๆสำหรับการฝึก ซึ่งอิทธิพลจากปรากฏการณ์ต่างๆของดวงจันทร์อาจส่งผลถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นและลดลงของของเหลวต่างๆภายในร่างกายมนุษย์ด้วย ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับร่างกายในการฝึกอัษฎางคโยคะ ในวันข้างขึ้นและข้างแรม(Full Moon และ New Moon) ก็จะเป็นที่รู้กันในกลุ่มของผู้ฝึกโยคะในสไตล์มัยซอร์ทุกๆคนว่าควรจะต้องงดเว้นการฝึกในวันดังกล่าวนี้



ขณะที่กำลังเดินไปด้วยกันอยู่นั้นนั่นเอง..เรื่องที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของผมตั้งแต่เมื่อตอนตีสี่ก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของผม  ผมจึงไม่รีรอที่จะเอ่ยปากถามครูไนเจลทันทีว่า เมื่อคืนคนขับรถแท็กซี่เขาบอกให้ผมไปจ่ายเงินที่ออฟฟิศ ครูไนเจลพอจะทราบไหมเอ่ยว่า ไอ้ออฟฟิศที่ว่าเนี่ย มันอยู่ที่ไหน? และค่าเช่าห้องพักกับค่ารถแท็กซี่เนี่ยจ่ายที่เดียวกันหรือเปล่า? ครูไนเจล ยิ้มๆแล้วก็ตอบว่า ออฟฟิศก็อยู่ตรงกันข้ามกับศาลาฝึกนี่ไงล่ะ ทั้งค่าเช่าห้องพักและค่ารถแท็กซี่จ่ายที่เดียวกันนี่แหล่ะ...แต่ว่าที่ออฟฟิศดังกล่าวนี้มีเวลาเปิด-ปิด ที่ไม่ค่อยจะแน่นอน ซึ่งส่วนใหญ่วัน Moon Day(ข้างขึ้น/ข้างแรม)และวันเสาร์ ออฟฟิศดังกล่าวนี้ ก็มักจะปิดตามศาลาฝึกโยคะด้วย  ครูไนเจลแนะนำให้ผมมาที่ออฟฟิศนี้อีกครั้ง ในวันอาทิตย์ช่วงเย็นๆ



    (ป้ายบอกวันและเวลาทำการรับลงทะเบียน ที่ติดอยู่บริเวณรั้วประตูด้านหน้าของศาลาฝึก)

ครูไนเจล พูดถึงคลาสเรื่อง Led Primary Series ของครู Sharath ที่จะมีในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ให้ผมฟัง และอยากให้ผมเข้าร่วมคลาสนี้ให้ได้  แต่ปัญหาของผมก็คือว่า ผมยังไม่ได้ลงทะเบียน, ตามกฎของ KPJAYI.แล้วหากเรายังไม่ได้ลงทะเบียน ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมใดๆที่ศาลาฝึกได้เลย  วันและเวลาที่นักเรียนใหม่จะสามารถเข้ามาลงทะเบียนได้ก็คือ วันอาทิตย์-วันศุกร์ เวลา 15:30-17:30น.

ครูไนเจลจึงรู้สึกเสียดายแทนผมเป็นอย่างมาก ที่ผมจะต้องเสียเวลาฝึกไปโดยไม่ควรเลยจริงๆ 1วัน, เนื่องจากศุกร์ 28ธ.ค.เป็นวัน Moon Day(ศาลาฝึกหยุดทำการ), เสาร์29ธ.ค.วันหยุดประจำสัปดาห์ ของ KPJAYI. (ศาลาฝึกหยุดทำการ), อาทิตย์ 30ธ.ค. คลาส Led Primary Series โดยครู Sharathจะเริ่มตอนเช้าตรู่เวลา 6:00น.

ซึ่งหมายความว่า ผมจะสามารถเข้ามาลงทะเบียนี่ศาลาฝึกได้อย่างเร็วที่สุดก็คือ อาทิตย์ที่ 30ธ.ค. เวลา 15:30น. ผมก็เลยจำใจจะต้องอดเข้า Led คลาสของครู Sharath ไปโดยปริยาย



                               (แผงขายผัก, ผลไม้ ย่าน Gokulam เมืองมัยซอร์ อินเดีย)

หลังจากนั้นครูไนเจลก็พาผมไปจับจ่ายซื้อของที่มีความจำเป็นกับชีวิตประจำวันของที่นี่ แน่นอนครับก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ อาหารการกินและน้ำดื่ม ตามที่เราๆได้ทราบข้อมูลกันมาล่ะครับว่าถ้าร่างกายของเราปรับตัวเข้ากับอาหารการกินของที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะก็ อาจจะทำให้เราต้องเกิดอาการท้องเสียเอาได้ง่ายๆเลยล่ะครับ ดังนั้นครูไนเจลก็จะค่อนข้างกำชับให้ผมระมัดระวังในเรื่องของอาหารการกินเป็นพิเศษ



นอกเหนือจากนี้แล้วก็เป็นเรื่องของเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแล้วล่ะครับ ครูไนเจลพาผมมาแนะนำให้รู้จักกับนิชิต(Nichit)เจ้าของร้านขายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ต  ผมซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือในระบบ 3Gของอินเดีย เพื่อใช้ในการโทร.ติดต่อกลับเมืองไทยและใช้อินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนของผม และก็ซื้ออุปกรณ์ที่สามารถใช้ในการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของผมกับระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้



(Nichit.เจ้าของร้านขายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์เชื่อต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับระบบอินเตอร์เน็ต)

การที่ชาวต่างชาติอย่างเราๆจะซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือที่อินเดียใช้ นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆครับ เป็นอะไรที่น่าสนใจพอสมควร เราจะต้องเตรียมเอกสารเหมือนๆกับที่เราใช้ในการสมัครลงทะเบียนเรียนที่ KPJAYI.เลยล่ะครับ ก็จะต้องมี สำเนาพาสปอร์ต, สำเนาวีซ่า และรูปถ่าย แล้วก็จะต้องกรอกเอกสารในการขอซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ให้ครบถ้วนชัดเจน ซึ่งในเอกสารต่างๆในทุกๆหน่วยงานของอินเดียเขาจะเน้นมากๆเลยครับ ว่าเราจะต้องกรอกชื่อ-นามสกุล ของ "บิดา" เราลงไปให้ชัดเจน(เขาต้องการทราบชื่อ-นามสกุล ของพ่อเรามากๆอ่ะครับไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลอินเดียเขาอยากจะรู้ชื่อพ่อเราไปทำไมกัน, แค่ได้ชื่อ-นามสกุลของเราไปคนเดียวก็ไปสืบค้นข้อมูลอื่นๆได้หมดแล้วคร้าบบบบ) ซึ่งในเรื่องของการเข้มงวดในการซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ของชาวต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศอินเดียนี้ น่าจะเป็นระบบที่ทางรัฐบาลอินเดียเขาบังคับให้ทุกๆร้านที่ขายซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือของอินเดียต้องทำแบบนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการนำซิมการ์ดโทรศัพท์ไปใช้เป็นอุปกรณ์ในการก่อการร้ายภายในประเทศอินเดียน่ะครับ  และพอเขาได้เอกสารต่างๆรวมถึงแบบฟอร์มการขอซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์จากเราไปแล้ว เขาก็จะทำการตรวจเช็คเอกสาร หากาวมาติดรูปเราไว้บนแบบฟอร์มการขอซื้อฯ และสุดท้ายก็ให้เราเซ็นกำกับบนเอกสารประมาณ 3-4จุด

และเรื่องซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือของอินเดียนี่ ยังไม่จบง่ายๆแค่นี้หรอกครับ  ที่ผมบรรยายให้ฟังนี่เป็นแค่เพียงขั้นตอนของการขอซื้อ เท่านั้นน่ะครับ...

โปรดติดตามตอนต่อไป...

ขอพลังแห่งโยคะ ความรักและศรัทธาจงอยู่กับทุกๆคนตลอดไป บุญรักษา พระคุ้มครอง

นมัสเต,

จิมมี่โยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger