การลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่การฝึกที่ KPJAYI.ของครูจิมมี่(Jimmy
in Mysore 6)
วันอาทิตย์ที่ 30ธันวาฯ 2555 เวลา 15:30 -17:30 น. เป็นเวลาของผู้ที่มีความประสงค์จะขอลงทะเบียนเพื่อสมัครเข้าเป็นนักเรียนใหม่
ของ K Pattabhi Jois Ashtanga Yoga Institute, Mysore, India. ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองไทยและมีความประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะลงทะเบียนเพื่อฝึกที่นี่...
กติกาการที่เราจะสมัครเพื่อขอเข้ามาฝึกที่นี่ก็เป็นที่รู้กันในวงกว้าง
ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยครับ
1. เราจะต้องกรอกใบสมัคร ลงทะเบียนออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์
www.kpjayi.org โดยเราจะต้องส่งใบสมัครล่วงหน้า
ก่อนกำหนดวันที่เราจะมาฝึกที่นี่ประมาณ 4เดือน,
การมาฝึกที่นี่ในแต่ละครั้งจะต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกขั้นต่ำที่สุดคือ 1เดือน และสูงสุดไม่เกิน 3เดือน,
ในแต่ละปีจะสามารถมาเข้าฝึกได้ไม่เกินปีละ 2ครั้ง
2. เมื่อส่งใบสมัครออนไลน์ล่วงหน้า 4เดือนเรียบร้อยแล้ว
ก็เฝ้ารอคอย อีเมล์การตอบรับของ KPJAYI.
เพื่อยืนยันที่จะรับเราเข้าฝึก
แน่นอนครับเขาไม่ได้ตอบรับทุกคนหรอกครับ
ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเขามีเกณฑ์อะไรในการพิจารณา(แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยมาฝึกที่นี่เลย
และสนใจจะลงทะเบียนเข้ามาฝึก ผมขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการมาฝึกในช่วง
เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ของแต่ละปี เพราะจะเป็นช่วงที่มีผู้มาฝึกเยอะมากๆ
ทางศูนย์ฝึก ก็เลยมักจะพิจารณาให้ศิษย์เก่าได้เข้ามาฝึกในช่วงนี้ก่อนเป็นหลัก
ดังนั้นนักเรียนใหม่อาจจะไม่ได้รับการตอบรับให้เข้ามาฝึกในช่วงเวลาดังกล่าวนี้
อันนี้เป็นข้อมูลเชิงลึกครับ)
3. เมื่อเราได้รับ
อีเมล์ยืนยันตอบรับให้ราเข้ามาฝึกจาก KPJAYI. ในวันที่เรารายงานตัวลงทะเบียนขั้นตอนสุดท้ายก็คือ
เตรียมเอกสารดังต่อไปนี้
- สำเนาพาสปอร์ต
- สำเนาวีซ่า
- รูปถ่าย ขนาด 2” x 2” (ซึ่งถ่ายไว้ไม่เกิน 6เดือน จำนวน 1รูป)
- และกรอกเอกสาร
การสมัครรายงานตัวเพื่อเข้าสู่การฝึก
- ค่าธรรมเนียมการฝึกสำหรับเดือนแรกที่มาฝึกคือ28,600รูปี(ซึ่งราคาดังกล่าวนี้จะรวมคลาสเรียนการออกเสียงสวดมนตราสันสกฤต)
จากนั้นเราก็จะได้รับบัตรประจำตัวนักเรียนของ
KPJAYI. เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราได้ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
และเราจะต้องนำบัตรใบนี้ซึ่งเป็นกระดาษขนาดเท่ากับนามบัตร
ติดตัวมาด้วยทุกๆครั้งที่เรามาที่ศูนย์ฝึก
คิดว่าทุกๆท่านคงพอจะเข้าใจขั้นตอนการสมัครลงทะเบียนตามที่ผมได้บรรยายมาทั้งหมดนี้
(นักเรียนที่มารอการฟังบรรยายของครูSharath ด้านหน้าศาลาฝึก ในวันอาทิตย์)
แต่ในวันอาทิตย์ช่วงที่ผมกำลังจะเดินมาลงทะเบียนนั้นเอง
พอเดินมาถึงด้านหน้าศาลาฝึกก็เห็นฝูงชนยืนออกันอย่างเนืองแน่น(ผมแค่คิดในใจว่า
อย่าบอกนะ ว่ามาสมัครเรียนพร้อมกันหมดเนี่ย จากการคาดคะเนด้วยสายตาของผมแล้วนั้น
จำนวนคนน่าจะประมาณ 200คนได้ล่ะครับ)
ผมก็ยืนงงไม่มีที่ให้แทรกเข้าไปน่ะครับ ทันใดนั้นเองครูไนเจลก็เดินผ่านมาพอดี
ผมจึงตระโกนเรียก, พอครูไนเจลหันมาเห็นผมก็ถามผมว่า
จิมมี่ได้ลงทะเบียนแล้วหรือยัง? ผมก็ตอบกลับไปว่าดูฝูงชนซิครูไนเจล
ผมจะแหวกเข้าไปลงทะเบียนได้อย่างไร, ครูไนเจลก็เลยบอกผมว่าอาจจะต้องรอก่อนล่ะเพราะว่าทุกๆวันอาทิตย์ครูSharath
จะมีบรรยายช่วง 16:00-17:00น.
และพอมาอยู่ที่นี่ คุณจะต้องเข้าใจกับคำว่า Shala Time,
ซึ่งคำว่า Shala Time ในที่นี้หมายถึง
การที่ให้นักเรียนทุกๆคนของ KPJAYI.เทียบเวลากับนาฬิกาหลักที่ตั้งอยู่ในศาลาฝึกเป็นสำคัญ
ซึ่งนาฬิกาหลักในศาลาฝึกนั้นจะเร็วกว่าเวลาท้องถิ่นโดยปกติประมาณ 15-20นาที ดังนั้นถ้านัดไว้ 15:30น. ก็จะต้องมาตามเวลาท้องถิ่นที่ 15:10น. (เอ้า!
มีแบบนี้ด้วย ใครจะไปรู้ล่ะเนี่ย)
ดังนั้นไหนๆมาแล้วก็ร่วมนั่งฟังบรรยายกับเขาด้วยเลยก็แล้วกันเรา รอครูSharath
บรรยายจบแล้วเราค่อยเข้าไปขอลงทะเบียน
อนิจจา
ใครจะไปคิดว่าคนจะมากันอย่างล้นหลามจนทำให้พื้นที่ของศาลาฝึกเต็มแน่นเอียดกันไปเลยทีเดียว
ไอ้ตัวกระผมเองนั้นเป็นเด็กมาใหม่ไม่ประสีประสาไม่รู้จักใคร
แต่ก็มีผู้ที่มาใหม่เช่นเดียวกันกับผมอีกประมาณ สิบกว่าคนเห็นจะได้ครับ
เพราะสังเกตจากเอกสารที่เขาถือๆกันอยู่
สรุปแล้วก็คือผมกับผู้ที่มาฟังบรรยายทีหลังอีกประมาณสิบคนต้องนั่งฟังบรรยายอยู่ด้านนอกประตูศาลาฝึก(ที่นี่ช่างเต็มไปด้วยพลังศรัทธา
น่าเลื่อมใสๆ)
อีกใจหนึ่งก็คิดหวั่นๆภายในใจว่าแล้วเขาจะมีพื้นที่เหลือพอให้เราฝึกไหมล่ะเนี่ย
คนโคตรเพียบเลย
(Prakash และครูจิมมี่)
และเมื่อครูSharath บรรยายจบฝูงชนประมาณสองร้อยคนก็ค่อยๆทยอยเดินออกจากศาลาฝึกไปจนเหลืออยู่ในศาลาฝึกแค่เพียงไม่ถึงยี่สิบคนเท่านั้น
แน่นอนคนที่เหลืออยู่คือคนที่รอลงทะเบียนครับ
เอาล่ะในที่สุดเวลาในการลงทะเบียนของเราก็มาถึงแล้ว
เนื่องจากช่วงเวลานั้นผมอาจจะดูเงอะๆงะๆและหน้าตาไม่ค่อยคุ้น จึงมีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งแต่งตัวเหมือนคนท้องถิ่นที่นี่
เดินตรงเข้ามาหาผม ณ ตอนนั้น ผมเข้าใจว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลาฝึก ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยของศาลาฝึก
(ผมมาทราบในภายหลังว่าเจ้าหน้าที่ท่านนี้เป็นชาวเนปาล ชื่อ Prakash) Prakash
ถามผมว่า มาลงทะเบียนใช่ไหม? จะฝึกกับใครล่ะ ครูSharat หรือ ครูSaraswathi ? ผมก็บอกไปว่า ผมจะฝึกกับครูSharathครับ(เพราะรู้ว่าถ้าฝึกกับครูSharath อาจารย์แม่Saraswathiก็จะต้องมาช่วยสอนด้วยแน่ๆ ก็เท่ากับว่าจะได้ฝึกกับครูทั้งสองท่าน แต่ถ้าฝึกกับอาจารย์แม่Saraswathi ครูSharath คงไม่ได้มาช่วยสอนด้วยแน่ๆ
ตรงนี้ใครๆอาจจะไม่ได้คิดถึง แต่ผมคิดเพราะสอบถามข้อมูลมาพอสมควรเลยล่ะครับ) Prakash ถามผมต่อว่าติดต่อกับใครไว้แล้วหรือเปล่า
เพราะมีห้องลงทะเบียนอยู่ สองห้อง, ห้องทางด้านขวามือคือห้องของครูSharath ส่วนห้องทางซ้ายมือคือห้องของคุณUsha (คุณUsha
คือเจ้าหน้าที่สุภาพสตรี ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของครูSharath
ในการรับลงทะเบียนนักเรียนใหม่) ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้ติดต่อมาทางคุณ
Usha, ดังนั้นคิดว่าก็ควรจะไปลงทะเบียนที่ห้องของคุณUshaน่าจะดีกว่า
(Usha และครูจิมมี่)
พอเข้าไปในห้องลงทะเบียนและส่งเอกสารให้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว
คุณUsha ก็ถามผมว่าจะฝึกกับใครล่ะ ครูSharat หรือ ครูSaraswathi ? ผมก็บอกไปว่า ผมจะฝึกกับครูSharathครับ, Usha
มองหน้าผมแล้วถามต่อว่าคุณเป็นนักเรียนใหม่นะ,
คุณเคยฝึกอัษฎางคโยคะมาก่อนหรือเปล่า จำซีรี่ท่าชุดฝึกไพรมารี่ซีรี่ได้แล้วหรือยัง?
ผมก็ตอบกลับไปเรียบๆง่ายๆว่าเคยฝึกครับแต่ไม่สม่ำเสมอแต่ผมไม่ใช่บีกินเนอร์นะครับ
ความสามารถของผม น่าจะมากกว่าบีกินเนอร์นิดหนึ่งครับ, Ushaมองหน้าผมจ้องตาแข็งไม่กระพริบตา(น่ากลัวมากๆ
ผู้หญิงอินเดีย ผิวเข้ม ตาโต ตัวเตี้ย จ้องมา ตาไม่กระพริบ ดูเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเรา)
แต่ผมก็ไม่หลบตาและก็ไม่กระพริบตาด้วยเช่นกันล่ะครับ เอาดิ่ เป็นไงเป็นกัน, Usha
ถามผมต่ออีกว่า คุณมั่นใจนะ ถ้าไม่มั่นใจดิฉันแนะนำให้ฝึกกับครูSaraswathi
ก่อนน่าจะดีกว่า(ผมคิดในใจว่า Usha เธอไม่เข้าใจเราเลยอ่ะ
ที่เราพูดไปเนี่ย เขาเรียกถ่อมตน เราฝึกไพรมารี่ซีรี่ได้แน่นอน) ผมจึงบอกเธอไปอีกครั้งอย่างหนักแน่นว่า
ผมมั่นใจครับว่าผมจะฝึกกับครูSharath,และเมื่อได้ยินผมยืนกรานเสียงแข็งขนาดนี้เธอเลยมองหน้าผมและพูดมาด้วยคำพูดง่ายๆว่า
28,600รูปี ราคานี้รวมคลาสภาษาสันสกฤต, โยคะสูตรา, ภควัตคีตา
และเรียนการออกเสียงสวดมนตราสันสกฤต(โอเค นี่แหล่ะ สิ่งที่รอคอยอยากจะฟัง)
ผมก็หยิบเงินให้เธอไป29,000รูปี ธนบัตรอินเดียใบละ 500รูปีทั้งหมด เธอทอนมาให้ผม 400รูปี และหยิบบัตรประจำตัวนักเรียนของ
KPJAYI.มาเขียนรายละเอียดให้ผม เพื่อเป็นการยืนยันว่าเราได้ลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รายละเอียดในบัตรประจำตัวบอกให้นักเรียนใหม่อย่างผม มาฝึกทุกวันจันทร์-พฤหัสฯ รอบ9:30น., ส่วนทุก Led Primary Series วันศุกร์และวันอาทิตย์
ซึ่งจะเป็นคลาสให้ผมมาฝึกรอบ6:00น.เช้า เธอถามผมอีกว่าเข้าใจคำว่า Shala Time ใช่ไหม?
โน่นดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่สุดในศาลา แล้วมาให้ตรงตามเวลาของนาฬิกาเรือนนั้น พรุ่งนี้คุณมาเริ่มฝึกตอน
9:30น. พยายามมาก่อนเวลาที่นัดหมายสักสิบนาทีเท่านั้นพอ
(บัตรประจำตัวนักเรียน KPJAYI.)
ก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากห้องลงทะเบียนของ Usha เธอก็ได้ทิ้งประโยคเด็ดประโยคสุดท้ายว่า ถ้าคุณฝึกกับครูSharath ถ้าเกิดติดๆขัดๆไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ในท่าไหนก็ตามแต่
ครูเขาอาจจะสั่งให้คุณหยุดแล้วก็พอแค่นั้นสำหรับการฝึกในวันนั้น
แล้ววันต่อไปจึงค่อยให้คุณกลับมาฝึกใหม่(เอ้า! ฉิบหายแล้ว
จริงอ่ะ? อันนี้ไม่มีใครเคยบอก
แล้วถ้าเราเสือกดันมาติดตั้งแต่ตอนไหว้พระอาทิตย์นี่ไม่ซวยเลยเหรอว๊ะเนี่ย! ถ้ามันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ คนแรกเลยก็คือUsha คงจะสมน้ำหน้าเราน่าดู
ว่าบอกแล้ว เตือนแล้วไม่ยอมเชื่อ...) จากประโยคสุดท้ายของUshaที่พูดมา ก็ทำเอาจิมมี่ถึงกับเครียดเลยล่ะครับ ณ
ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าไอ้เราเองก็ไม่ค่อยได้ฝึกไพรมารี่ซีรี่มานานมากแล้ว
ควรรีบกลับไปทบทวนท่าฝึกดีกว่า ยังพอมีเวลาอยู่
(จิมมี่ และครูSaraswathi)
พอออกมาที่ประตูศาลาฝึก ผมก็ได้พบกับครูSaraswathi ผมจึงหยุดกราบสวัสดีและฝากเนื้อฝากตัวกลับท่าน,
ท่านถามผมว่าพรุ่งนี้มาเริ่มฝึกใช่ไหม ฝึกกับใคร? ผมก็บอกท่านไปว่าผมฝึกกับครูSharath
ตอน 9:30น. ครูSaraswathi บอกผมต่อว่าเวลานั้นฉันก็มาช่วยเขาสอน เพราะคนที่ศาลานี้จะเยอะเลยล่ะช่วง9:30น. แล้วก็เป็นเวลาที่ฉันสอนเสร็จจากศาลาโน้นมาพอดีเลย(อ้า! แหล่งข้อมูลที่ผมได้มาเป็นของจริง เชื่อถือได้)
เมื่อพูดคุยกันพอประมาณผมก็ขอลากลับที่พักเพื่อทบทวนท่าฝึกไพรมารี่ซีรี่ โชคดีที่ผมเตรียมตำรับตำราท่าฝึกมาจากเมืองไทยด้วย
ไม่งั้นแย่เลย อันนี้คงไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ฝึกไพรมารี่ซีรี่เป็นประจำอยู่แล้วน่ะครับ
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกหรือนานๆฝึกทีอย่างผมก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ล่ะครับ
(หนังสือโยคะ ของครูแมททริว สวีนนี่ ที่ผมเตรียมมาด้วยจากเมืองไทย)
ดังนั้นคืนนี้ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก งานหนักเลยล่ะครับสำหรับการที่ต้องทบทวนซีรี่ท่าทั้งหมดและจำให้ได้อย่างแม่นยำภายในคืนเดียว
ท่าก็เยอะโคตรเพียบ แต่ยังไงๆผมก็จะต้องทำให้ได้ครับ จะได้ไม่อับอายขายขี้หน้าคนอื่นเขา
และจะได้ไม่เสียชื่อเสียงของประเทศชาติ
ในฐานะที่เราเป็นชาวไทยเพียงคนเดียวที่มาฝึกในช่วงนี้...
โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ
กับชะตากรรมของครูจิมมี่ในการฝึกโยคะแบบมัยซอร์สไตล์ในวันแรก
ขอพลังแห่งโยคะ
ความรักและศรัทธาจงอยู่กับทุกๆคนตลอดไป บุญรักษา พระคุ้มครอง
นมัสเต,
จิมมี่โยคะ