เรื่องเล่า...จากครูโยคะ

เรื่องเล่า...จากครูโยคะ เป็นการรวบรวมเรื่องราวต่างๆจากประสบการณ์การสอนโยคะของครูจิมมี่ ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความ สอดแทรกอารมย์ขัน เหมาะกับผู้ที่สนใจในการฝึกโยคะ, ครูฝึกโยคะและทุกๆคน ทุกเพศทุกวัย



สำหรับทุกๆท่านที่เพิ่งจะเข้ามาใช้บริการ อ่านบล็อก เรื่องเล่า...จากครูโยคะ โดยครูจิมมี่ สามารถเลือกคลิ๊กเข้าไปอ่าน บทความอื่นๆได้ ที่เดือนต่างๆ ซึ่งเรียงอยู่ทางด้านขวามือของบทความ ขอบพระคุณมากครับ



ขอพลังแห่งโยคะจงอยู่กับคุณตลอดไป...นมัสเต...





วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

เยี่ยมชมพระราชวังมัยซอร์ ก่อนลงทะเบียนฝึกที่ KPJAYI.(Jimmy in Mysore 5)



เยี่ยมชมพระราชวังมัยซอร์ ก่อนลงทะเบียนฝึกที่ KPJAYI.(Jimmy in Mysore 5)


เช้าวันอาทิตย์ที่ 30ธันวาฯ2555 ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความสดชื่น หลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เมื่อวานนี้ วันนี้ช่วงเช้าผมมีเวลาว่าง ผมตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมชมพระราชวังมัยซอร์ เพราะว่ามีผู้ที่มีประสบการณ์หลายๆท่านแนะนำผมมาอีกทีหนึ่งน่ะครับ  เวลาประมาณแปดโมงกว่าๆผมก็เริ่มค่อยๆออกเดินทาง เดินเท้านี่แหล่ะครับ เดินไปเรื่อยๆ จากการสอบถามข้อมูลจากนิชิต เขาบอกว่าพระราชวังมัยซอร์ห่างจากย่านที่ผมอยู่แค่ประมาณ 3-4กิโลเมตรเท่านั้นเอง แต่นิชิตทิ้งท้ายว่าให้ขึ้นรถโดยสารประจำทางไปแป๊บเดียว  แต่ในใจผมคิดว่าแค่ 3-4 กิโลเมตรเอง อดีตนักวิ่งมินิมาราธอนอย่างเรา น่าจะเดินได้สบายไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ผมก็เลยตัดสินใจเดินเท้าชมวิวทิวทัศน์ของเมืองมัยซอร์ไปเรื่อยเลยล่ะครับ  หลังจากที่เดินมาได้สักประมาณ 3กิโลเมตร ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพระราชวังมัยซอร์  พอดี ณ บริเวณนั้นอยู่ใกล้ๆสถานีตำรวจ 
                                               (นายตำรวจ ที่สถานีตำรวจที่ผมเดินผ่าน)
ผมก็เลยเดินเข้าไปถามนายตำรวจท่านหนึ่งว่าการจะมุ่งหน้าไปพระราชวังมัยซอร์นี่ไปทางไหน? และต้องไปอีกไกลไหม? เดินเท้าไปได้ไหม? นายตำรวจท่านนี้ก็ชี้ทิศทางให้ แล้วก็บอกกับผมว่าอย่าเดินไปเลยมันไกลนะ ให้ขึ้นรถโดยสารประจำทางไปดีกว่า แล้วก็ชี้บอกว่าผมควรจะต้องไปขึ้นรถโดยสารประจำทางตรงป้ายรอรถป้ายใด(นิชิต 3-4กิโลเมตร ที่แกว่ามันไม่ใช่ว่ะพวก)



                                    (ป้ายไฟตัวหนังสือ ในศาลารอรถโดยสารประจำทาง)
ที่พักผู้โดยสารรอรถประจำทางของที่นี่ดูไม่น่าจะทันสมัยเลย แต่ก็ทันสมัยให้งงซะงั้นล่ะครับ มีป้ายไฟฟ้าเป็นตัวหนังสือบอกสายรถประจำทาง และจุดหมายที่รถสายนั้นๆจะไป(ไม่น่าเชื่อ แต่จริง) พอขึ้นมาบนรถโดยสารประจำทางได้เรียบร้อยแล้ว ผมก็บอกกับกระเป๋ารถฯว่าจะไปพระราชวังมัยซอร์ (Mysore Palace) เขาก็ส่ายศรีษะ ซ้าย-ขวา ตามสไตล์ของชาวอินเดีย ซึ่งหมายความว่าใช่ จากนั้นพี่ระเป๋ารถเมล์แกก็กดเครื่องออกตั๋วแบบดิจิตอลที่คล้องคอไว้มาให้ผม(อั๊ยย๊ะ! ไฮเทคฯได้อีก อย่างไม่น่าเชื่อ) แล้วก็บอกผมว่า 10รูปี(ที่นี่เขาน่าจะคิดค่าโดยสารตามระยะทางคล้ายๆกับบ้านเราน่ะครับ แต่ผมไม่ทราบว่าราคาเริ่มต้น และราคาสูงสุดคือเท่าไหร่) 
                                          (บรรยากาศ ในรถโดยสารประจำทางอินเดีย)

 
                                                (ตั๋วรถโดยสารประจำทางของอินเดีย)
ก็ได้นั่งรถโดยสารประจำทางดูวิถีชีวิตผู้คนในเมืองมัยซอร์ อินเดีย ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจไปอีกแบบหนึ่งครับ บนรถโดยสารประจำทางของอินเดียในยุคพัฒนาแล้วก็จะมีป้ายไฟเป็นตัวหนังสือ บอกว่าป้ายต่อไปคือที่ไหนอย่างไร(อั๊ยย๊ะ!ไม่ธรรมดา) พอมาถึงบริเวณใกล้ๆพระราชวังมัยซอร์ กระเป๋ารถเมล์ก็บอกให้ผมเตรียมตัวลงพร้อมกับชี้ทิศทางว่าให้เดินไปทางด้านโน้นอีกนิดหนึ่งก็จะเจอพระราชวังมัยซอร์ ผมกล่าวขอบคุณกระเป๋ารถเมล์ท่านนี้ แล้วผมก็เดินมุ่งหน้าไปสู่พระราชวังมัยซอร์ อินเดีย



(ประตูด้านหน้าทางเข้าพระราชวังมัยซอร์)





 
(พระราชวังมัยซอร์)

พอมาถึงด้านหน้าทางเข้าพระราชวังมัยซอร์ สถานที่ดูใหญ่โต กว้างขวางมากๆ สมกับคำว่าพระราชวังจริงๆครับ มีการออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากบ้านเราพอสมควรเลยล่ะครับ สำหรับค่าธรรมเนียมในการผ่านประตูเข้าไปชมภายในเขตพระราชวังก็  40รูปีสำหรับชาวอินเดีย, 200รูปีสำหรับชาวต่างชาติ  พอเข้ามาถึงภายในเขตพระราชวัง เราก็จะต้องนำกระเป๋าต่างๆที่นำติดตัวมาด้วยไปผ่านเข้าเครื่องสแกนเพื่อตรวจหาวัตถุต้องสงสัยตามมาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่น่ะครับ  ด้านนอกตัวอาคารวังเราสามารถใช้กล้องถ่ายรูปได้ครับ แต่ส่วนภายในตัวพระราชวังเขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพใดๆทั้งสิ้นน่ะครับ



ผมก็ได้ชมความงดงามของศาสนสถานซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตพระราชวัง และบรรยากาศโดยรอบของพระราชวัง มีนักเรียนนักศึกษา และผู้คนชาวอินเดียรวมจนถึงชาวต่างชาติจำนวนมากให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมพระราชวังมัยซอร์ในวันนี้ เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์



ข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับพระราชวังมัยซอร์ คือ กษัตริย์แห่งราชวงศ์วอเดยาเป็นผู้กำหนดเมืองแห่งวัฒนธรรมทางตอนใต้ของมัย ซอร์ (Mysore) พระราชวังหรูหราและโบสถ์เซ็นต์ ฟิโลมีน่าซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบโกธิคเซนต์ที่มียอดแหลม 175 ฟุต สถาบันท้องถิ่นรักษาดนตรีและการเต้นรำแบบการะนาตักให้ยังคงอยู่ในสายตา สาธารณชน วัดศตวรรษที่ 11 ที่โดดเด่นตั้งตระหง่านอยู่บนขั้นบันได 1,000 ในเขตนอกเมือง แต่งตัวให้โก้แล้วไปปาร์ตี้แบบร็อคสตาร์เพื่อเฉลิมฉลองมรดกมัยซอร์ (Mysore) ในช่วงเทศกาลดัสเซห์รา (Dussehra) ที่แสนรื่นเริง ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 10 วันในเดือนตุลาคม / พฤศจิกายน

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.tripadvisor.com/Tourism-g304553-Mysore_Karnataka-Vacations.html)



พอออกมาด้านหน้าพระราชวังมัยซอร์ ก็จะมีเหมือนตลาดนัดขายสินค้าขนาดไม่ใหญ่มาก มีของกิน ของใช้ และของที่ระลึกต่างๆวางขายกันหลายร้านพอสมควรครับ  

พอมองไปเห็นของกินผมก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเพราะในช่วงเช้าก็ยังไม่ได้ทานอะไรเป็นกิจจะลักษณะ  ที่น่าสนใจก็เป็นผลไม้ล่ะครับ หลักๆเลยแถวๆนี้ก็จะขายผลไม้เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นล่ะครับ พอเดินเข้ามาใกล้ๆผมก็เห็นเขาขายสับปะรด, แตงโม, แตงกวาผลใหญ่ปลอกเปลือกผ่าครึ่งซีก และมะละกอ สิ่งที่ผู้คนบริเวณนั้นให้ความสนใจรับประทานมากที่สุดก็คือมะละกอครับ ดังนั้นผมเลยขอลองซื้อมะละกอมาทานดีกว่า จะได้รู้รสชาติว่าทำไมถึงเป็นที่นิยมของคนที่นี่(อิๆๆ น่าตื่นเต้น) 


เป็นมะละกอชิ้นใหญ่เหมือนกันครับ หั่นวางบนกระดาษที่ดูคล้ายๆกับกระดาษหนังสือพิมพ์แต่กระดาษมีความหนามากกว่า ผมคิดว่าน่าจะเป็นกระดาษจากหนังสือนิตยสารหรือแมกาซีนต่างๆมากกว่าน่ะครับ มะละกอดังกล่าวนี้จะโรยหน้าด้วยเกลือและพริกไทเล็กน้อยครับ ก็ได้รสชาติอร่อยแบบแปลกๆดีครับ(สาเหตุที่อร่อยแบบแปลกๆอาจสืบเนื่องมาจากกระดาษที่ใช้เป็นแผ่นรองมะละกอน่ะครับ อิๆๆ) มะละกอแบบนี้หนึ่งชิ้นก็ราคา 20รูปีครับ หลังจากนั้นสักพักผมก็รอลุ้นล่ะครับ ว่าภูมิต้านทานของผมเป็นอย่างไรบ้าง จะท้องเสียจากการกินมะละกอหรือไม่ ก็ปรากฏว่าไม่มีปัญหาอะไรครับ



ผมคิดคำนวณเอาไว้ว่าจะใช้เวลาที่พระราชวังมัยซอร์นี้แค่ถึงเวลาประมาณเที่ยงเท่านั้น เพราะว่าผมจะต้องกลับไปรอลงทะเบียนสำหรับการฝึกโยคะที่ K. Pattabhi Jois Ashtanga Yoga Institute  ผมก็เริ่มสอบถามคนแถวๆนั้นอีกล่ะครับ ว่าผมจะขึ้นรถโดยสารประจำทางกับย่าน Gokulam ได้ที่ไหน เพื่อความแน่นอนปรึกษาคนในเครื่องแบบไว้ก่อนเพื่อความอุ่นใจ ก็ถามพี่ตำรวจท่องเที่ยวที่อยู่หน้าประตูพระราชวังฯฝั่งที่เขาไม่อนุญาตให้ใครผ่านเข้า-ออก(พอดีผมเดินออกมาด้านนอกแล้วล่ะครับ แต่กำลังเดินอ้อมรอบนอกของเขตพระราชวังฯเพื่อที่จะหาป้ายรถโดยสารประจำทางเพื่อเดินทางกลับที่พัก)  พี่ตำรวจท่านนี้บอกกับผมว่าเดินอ้อมเขตพระราชวังฯไปอีกนิดหนึ่งก็จะเจอจุดพักรถโดยสารประจำทางขนาดใหญ่ 

เนื่องจากรถโดยสารหลายๆสายจะมาหมดระยะที่นี่ ให้ผมเดินไปถามนายสถานีที่จุดพักรถดู เป็นข้อมูลที่ดีครับ, พี่ตำรวจเขาบอกมายังไงผมก็ทำแบบนั้นล่ะครับ หลังจากที่ผมไปถามนายสถานีแล้วก็ได้ความว่า รถสาย119 จะผ่านย่าน Gokulam ที่ผมอยู่ ก็10รูปีครับสำหรับค่าโดยสาร แล้วผมก็นั่งยาวกลับมายังแถวๆที่พัก กระเป๋ารถเมล์เขาก็จะบอกเราล่ะครับพอเวลาใกล้ๆจะถึงที่หมายที่เราต้องการจะไป เนื่องจากเราเป็นชาวต่างชาติน่ะครับ โดยทั่วๆไปแล้ว ชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวที่อินเดียก็มักจะไม่ค่อยใช้บริการรถโดยสารประจำทางของอินเดียสักเท่าไหร่หรอกครับ แต่สิ่งนี้ผมได้รับการแนะนำมาจาก คุณอิทธฤทธิ์ ประคำทอง(บรรณาธิการ สื่อโยคะออนไลน์ “อรุโณทัย”) ว่าควรจะลองดู มันเป็นรสชาติของชีวิต และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก จริงครับไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยครับ แต่รถทั้งคันมีผมเป็นชาวต่างชาติคนเดียวจริงๆ ที่เหลือแขกอินเดียล้วนๆ

แต่ผมขอแนะนำให้ใช้บริการรถโดยสารประจำทางในตอนกลางวันนะครับ ตอนกลางคืนอาจจะไม่มีอะไรก็ได้แต่ผมไม่ค่อยมั่นใจน่ะครับ และนิสัยโดยส่วนตัวของผมก็คือเมื่อมาอยู่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม ผมมักจะไม่ค่อยออกไปไหนในเวลากลางค่ำกลางคืนน่ะครับ



ผมกลับมาถึงที่พักย่านGokulam เวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง พอเกือบจะถึงที่พักก็นึกขึ้นได้ว่าน้ำดื่มที่ห้องพักใกล้จะหมดแล้ว ควรจะซื้อน้ำกลับเข้าไปไว้ที่ห้องสักสองขวด  น้ำดื่มที่ผมนิยมซื้อที่นี่ก็จะขนาดบรรจุขวด 2ลิตร ราคาขวดละ 30รูปี



หลังจากนั้นผมก็พักเล็กน้อยและตระเตรียมเอกสารต่างๆเพื่อไปรอลงทะเบียน ที่KPJAYI.



โปรดอย่าพลาดติดตามตอนต่อไปครับ...ซึ่งเป็นส่วนของการลงทะเบียนเพื่อฝึกโยคะที่ KPJAYI.



ขอพลังแห่งโยคะ ความรักและศรัทธาจงอยู่กับทุกๆคนตลอดไป บุญรักษา พระคุ้มครอง



นมัสเต,



จิมมี่โยคะ

ป้ายกำกับ

Powered By Blogger